10 เพลย์เมคเกอร์ที่ดีที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน - The Macho
 
Roral Enfield - Hunter 350
728x150 - Nissan Almera
728x150 - Hunter4
10 เพลย์เมคเกอร์ที่ดีที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน

        เพลย์เมคเกอร์ หรือที่เรารู้จักกันในบทบาทผู้เล่นหมายเลข 10 นั้น นับเป็นอีกตำแหน่งที่สำคัญในทีมฟุตบอลเช่นเดียวกัน เพราะนอกจากพวกเขาจะคอยทำหน้าที่สร้างสรรค์เกมรุกแล้ว แข้งเหล่านี้ก็ยังเป็นคนควบคุมกำหนดจังหวะ และทิศทางการโจมตีของทีมตัวเอง

ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตำแหน่งดังกล่าวยังต้องมีศักยภาพหลายด้านทั้งการครองบอล,เทคนิค,ทักษะ,วิสัยทัศน์, การจบสกอร์ และบางคนอาจมีทีเด็ดจากการเล่นลูกฟรีคิกอีกด้วย โดย 10 จอมทัพเหล่านี้ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า พวกเขามีคุณสมบัติครบถ้วนทุกประการที่จะมีชื่ออยู่ในจัดอันดับ

10. แจ็ค กรีลิช (แอสตัน วิลล่า)

แน่นอนว่า มีนักเตะอีกหลายคนที่ชื่อชั้นดังกว่า กรีลิช แต่จากสถิติก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ในฤดูกาลที่ผ่านมากับ วิลล่า เขายอดเยี่ยมเพียงใดหลังทำสถิติเป็นผู้เล่นที่สร้างโอกาสทำประตูให้เพื่อนร่วมทีมมากสุดอันดับ 2 ด้วยจำนวน 91 ครั้ง เป็นรองแค่ เควิน เดอ บรอยน์ มิดฟิลด์ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คนเดียวเท่านั้น

จอมทัพชาวอังกฤษ มักจะเริ่มต้นเกมในตำแหน่งตัวรุกฝั่งซ้าย แต่ในระหว่างแข่งเขามักจะขยับเข้าในตรงกลางเพื่อสร้างสรรค์เกม โดยดาวเตะวัย 25 ปี มักจะใช้ทักษะที่ยอดเยี่ยมในการเลี้ยงบอลของเขาปั่นป่วนแนวรับคู่แข่งอยู่เสมอ

นอกจากนี้ กรีลิช ยังเป็นนักเตะที่เล่นได้ทุกตำแหน่งในแนวรุก แถมยังมีทีเด็ดจากการยิงฟรีคิกอีกด้วย และในฤดูกาลนี้ เขายังคงโชว์ฟอร์มให้กับ วิลล่า ได้อย่างน่าประทับใจด้วยการทำไป 3 ประตู กับอีก 3 แอสซิสต์

9. คริสเตียน อีริคเซ่น (อินเตอร์ มิลาน)

อดีตเพลย์เมคเกอร์ ท็อตแนม ฮอทสเปอร์ กำลังดิ้นรนอย่างหนักเพื่อปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในอิตาลีหลังย้ายมาเล่นกับ อินเตอร์ มิลาน ในเดือนมกราคมปี 2020 โดยซีซั่นที่แล้ว อีริคเซ่น ลงเล่นให้กับ “งูใหญ่” ไปรวมทุกรายการ 26 เกม ซัดไปเพียง 2 ประตู พร้อมกับข่าวลือว่า เขาเตรียมจะย้ายออกจากถิ่นสตาดิโอ จู เซปเป้เมอัซซ่า ในช่วงซัมเมอร์ล่าสุด

อย่างไรก็ตาม ฤดูกาลนี้ อีริคเซ่น ยังคงอยู่กับ อินเตอร์ ต่อไป และดูเหมือนว่า เขาจะค่อยๆปรับตัวเข้ากับบทบาทจอมทัพในระบบ 3-4-1-2 ภายใต้การคุมทีมของ อันโตนิโอ คอนเต้ เทรนเนอร์จอมแท็คติคของ “งูใหญ่” ได้มากขึ้นแล้ว

8. มาร์ติน โอเดการ์ด (เรอัล มาดริด)

ในปี 2015 โอเดการ์ด สร้างความฮือฮาให้กับวงการฟุตบอลยุโรป ด้วยการย้ายจาก สตอร์มก็อดเซ็ท ไปเล่นกับ มาดริด ในวัยเพียง 15 ปีเท่านั้น แต่กองกลางชาวนอร์เวย์ ต้องย้ายไปเล่นด้วยสัญญายืมตัวกับ ฮีเรนวีน, วิเทสส์ อาร์เนม แล เรอัล โซเซียดาด ก่อนจะกลับมายัง “ราชันชุดขาว” ในปีนี้

ในฤดูกาลที่แล้วกับ โซเซียดาด นั้น โอเดการ์ด ทำผลงานได้อย่างสุดยอดด้วยการซัดไป 7 ประตู จาก36 เกมรวมทุกรายการ โดยดาวเตะวัย 21 ปี ได้รับคำชื่นชมอย่างมากในเรื่องทักษะการเลี้ยงบอล และวิสัยทัศน์ในการจ่ายบอลของเขา

จากความยอดเยี่ยม และฝีเท้าที่สามารถพัฒนาได้อีกไกลในอนาคตทำให้ ซีเนดีน ซีดาน กุนซือ มาดริด ดึงตัว โอเดการ์ด กลับมายังถิ่นซานติเอโก เบอร์นาบิว ในปีนี้ พร้อมให้โอกาสลงเล่นไปแล้ว 3 เกม

7. จิโอวานนี่ เรย์น่า (โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์)

ไม่ใช่แค่ดาวรุ่งอย่าง จาดอน ซานโช่, จู๊ด เบลลิงแฮม หรือ เออร์ลิง เบราท์ ฮาแลนด์ ที่ทำให้แฟนบอล ดอร์ทมุนด์ ตื่นเต้น แต่ เรย์น่า ในวัย 17 ปี ก็โชว์ฝีเท้าได้เปล่งประกายเช่นกัน และแม้เขาจะยังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกมาก แต่การเล่นของเจ้าตัวนั้น ก็พัฒนาเกินเด็กในวัยเดียวกันไปแล้ว 

ในฤดูกาลนี้ ตัวรุกชาวอเมริกัน ระเบิดฟอร์มสุดยอดด้วยการซัดไป 2 ประตู กับ 4 แอสซิสต์ จาก 5 เกมที่ลงสนามให้ ดอร์ทมุนด์ และนอกจากการจบสกอร์ที่เฉียบขาดแล้ว เรย์น่า ยังมีอิทธิพลกับเกมรุกของ “เสือเหลือง” อย่างมากอีกด้วย

6. ปาปู โกเมซ (อตาลันต้า)

โกเมซ เป็นคนที่ทำให้ อตาลันต้า กลายเป็นทีมที่น่าสนใจลำดับต้นๆในยุโรป ซึ่งในช่วง 2-3 ฤดูกาลที่ผ่านมา มิดฟิลด์มากประสบการณ์ชาวอาร์เจนไตน์ ถือว่า เป็นผู้บัญชาการเกมรุกของทีมเลยก็ว่าได้

ตลอด 7 ปีกับ อตาลันต้า นั้น โกเมซ ซัดไป 59 ประตู กับ 69 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 241 เกมรวมทุกรายการ และในฤดูกาลนี้ เพลย์เมคเกอร์วัย 32 ปี ยังไม่มีท่าทีว่าจะฟอร์มดร็อปลงไปแต่อย่างใดหลังซัดไป 5ประตู กับ 2 แอสซิสต์ จาก 5 เกมล่าสุด

5. ไค ฮาเวิร์ตซ์ (เชลซี)

ฮาเวิร์ตซ์ ได้รับการคาดหมายว่า จะก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในยอดนักเตะของเยอรมันในอนาคต และแฟนบอลบางรายมองว่า เขาจะยิ่งใหญ่กว่า มิเชล บัลลัค อดีตจอมทัพ “อินทรีเหล็ก” ของ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น, บาเยิร์น มิวนิค และ เชลซี เสียอีก

ในฤดูกาล 2018-2019 ถือเป็นปีที่แจ้งเกิดของ ฮาเวิร์ตซ์ อย่างแท้จริงหลังระเบิดฟอร์มซัดไป 17 ประตู รวมทุกรายการให้กับทีมเก่าอย่าง เลเวอร์คูเซ่น และพาทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศศึกเดเอฟเบ โพคาล อีกด้วย

ซัมเมอร์ที่ผ่านมา ฮาเวิร์ตซ์ ย้ายจาก เลเวอร์คูเซ่น มาเล่นกับ เชลซี ด้วยค่าตัวถึง 72 ล้านปอนด์ พร้อมกับได้รับการคาดหมายว่า จะเป็นกำลังสำคัญของ “สิงโตน้ำเงินคราม” ในอนาคต และการที่เข้าซัดแฮตทริคในเกมคาราบาว คัพ กับ บาร์นสลีย์ ในเดือนกันยายน ก็บ่งบอกคุณภาพของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี

4. บรูโน่ เฟอร์นานเดส (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)

เฟอร์นานเดส กลายเป็นจอมทัพคนสำคัญของ แมนฯ ยูไนเต็ด ทันทีหลังย้ายมาจาก สปอร์ติง ลิสบอน ในเดือนมกราคมปี 2020 ด้วยค่าตัวราว 47 ล้านปอนด์ โดยมิดฟิลด์ชาวโปรตุกีส ได้รับการยกยองว่า สร้างอิทธิพลเชิงบวกให้กับ “ปีศาจแดง” ได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว

กองกลางวัย 26 ปี เป็นนักเตะที่มีความมั่นใจตัวเองอย่างสูง และมีความคิดสร้างสรรค์ยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นสิ่งที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ขาดหายไปนานหลายปี และการย้ายมายังถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ของเขานั้น ทำให้แนวรุกคนอื่นๆของ “ปีศาจแดง” อย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด, อองโตนี่ มาร์กซิยัล และ เมสัน กรีดวูด โดดเด่นขึ้นไปอีก

เฟอร์นานเดส ลงสนามให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ไปแล้วรวมทุกรายการ 29 เกม และซัดไปได้ถึง 16 ประตูเลยทีเดียว

3. ฮาเมส โรดริเกซ (เอฟเวอร์ตัน)

ฟอร์มในช่วงแรกของ ฮาเมส กับ เอฟเวอร์ตัน ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ เพราะฝีเท้าของเขานั้น มันจัดอยู่ในระดับโลกไปแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้เป็นที่ต้องการของ เรอัล มาดริด แต่ที่ทัพ “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” มิดฟิลด์ชาวโคลอมเบีย ก็คีย์แมนของสโมสรไปเรียบร้อยแล้ว

ฮาเมส คือ ต้นฉบับของนักเตะหมายเลข 10 เลยก็ว่าได้ไม่ว่าจะเป็น พรสวรรค์, การสร้างสรรค์เกม, เทคนิค, ทักษะ, การครองบอล และวิสัยทัศน์ เขาผสมผสานทุกอย่างเข้ากันอย่างลงตัว รวมทั้งยังมีทีเด็ดจากลูกตั้งเตะอีกด้วย

การย้ายมายังถิ่นกูดิสัน ปาร์ค ของ ฮาเมส นั้น ส่งผลให้นักเตะในแนวรุกของ เอฟเวอร์ตัน อย่าง โดมินิก คัลเวิร์ต – เลวิน กองหน้าทีมชาติอังกฤษ และ ริชาร์ลิสัน ดาวยิงชาวบราซิล ฟอร์มโดดเด่นขึ้นมาอย่างมาก

2. เควิน เดอ บรอยน์ (แมนเชสเตอร์ ซิตี้)

เดอ บรอยน์ อาจเป็นเพลย์เมคเกอร์ ที่แตกต่างจากคนอื่นๆที่กล่าวมา เพราะเขาเป็นผู้เล่นที่ลงมาสร้างสรรค์เกมในแนวลึก ซึ่งเป็นแนวทางการคุมทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือ แมนฯ ซิตี้ โดยกองกลางชาวเบลเยียม ถูกจับมายืนต่ำเกือบจะขนาบกับมิดฟิลด์ตัวกลางคนอื่นๆของ “เรือใบสีฟ้า”  

ดาวเตะวัย 29 ปี เป็นจอมทัพที่เต็มไปด้วยพละกำลัง เขาวิ่งพล่านไปทั่วสนามเพื่อทำเกม และมีทีเด็ดจากการจ่ายบอลแนวลึกอีกด้วย โดยเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา เดอ บรอยน์ ทำสถิติเป็นผู้เล่นที่สร้างโอกาสทำประตูให้เพื่อนร่วมทีมมากสุดของศึกพรีเมียร์ลีก

นับตั้งแต่ย้ายจาก โวล์ฟบวร์ก มาเล่นกับ แมนฯ ซิตี้ ในปี 2016 จนถึง ณ เวลานี้ เดอ บรอยน์ ทำแอสซิสต์ไปแล้วมากถึง 67 ครั้ง ซัดไป 58 ประตู จาก 227 เกมรวมทุกรายการ

1. โธมัส มุลเลอร์ (บาเยิร์น มิวนิค)

มุลเลอร์ สมควรอยู่อย่างยิ่งที่จะได้รับการพิจารณาให้เป็นเพลย์เมกเกอร์ที่ดีที่สุดในโลกจากฟอร์มการเล่นที่คงเส้นคงว่ามาตลอดเกินกว่า 10 ของเขาทั้งกับทีมชาติเยอรมัน และต้นสังกัดอย่าง “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค

ในฤดูกาลที่ผ่านมา มุลเลอร์ ทำสถิติไปถึง 26 แอสซิสต์ ซัดไป 14 ประตู จาก 50 เกมรวมทุกรายการ พร้อมกับพา บาเยิร์น คว้าแชมป์บุนเดสลีกา, ยูฟ่า แขมเปี้ยนส์ ลีก และเดเอฟเบ โพคาล ไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่

แม้ดาวเตะวัย 31 ปี จะไม่ได้เป็นจอมทัพที่มีเทคนิคแพรวพราวนัก แต่ความขยัน, การหาพื้นที่ และการจบสกอร์ที่เฉียบขาดของเขานั้น ก็เข้าขั้นระดับโลกเลยทีเดียว

Photo : skysports.com, sport.sky.it

Che Navapun

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save