10 ภาพยนตร์ครูโหดนักเรียนเหี้ยมยอดเยี่ยมจนไม่ควรพลาด - The Macho
 
Roral Enfield - Hunter 350
728x150 - Nissan Almera
728x150 - Hunter4
10 ภาพยนตร์ครูโหดนักเรียนเหี้ยมยอดเยี่ยมจนไม่ควรพลาด

            “โรงเรียนของเราน่าอยู่ คุณครูใจดีทุกคน เด็ก ๆ ก็ไม่ซุกซน พวกเราทุกคนชอบมาโรงเรียน” หนึ่งในเนื้อเพลงคุ้นหูที่คนไทยทุกคนได้ยินตั้งแต่เล็กจนโต แน่นอนว่าในโลกความเป็นจริง คุณครูก็ไม่ได้ใจดีทุกคน ในขณะที่เด็ก ๆ ก็แสนซุกซน แถมก็ไม่ใช่ทุกคนที่ชอบไปโรงเรียน

ยิ่งเมื่อไม่นานมานี้สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างครู-นักเรียนเริ่มมีให้เห็นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งกาย ทรงผม กฎระเบียบต่าง ๆ รวมถึงกรณีล่าสุดอย่างการแสดงออกทางการเมืองของนักเรียนทั้งการชูสามนิ้ว การผูกริบบิ้นสีขาว ฯลฯ เพื่อให้เข้ากับกระแสคุณครูกับนักเรียน ดังนั้น วันนี้เราขอแนะนำ 10 ภาพยนตร์ครูโหดนักเรียนเหี้ยมยอดเยี่ยมจนไม่ควรพลาด

Confessions

เรื่องราวของ “โยโกะ โมริกูจิ” ครูสาวของโรงเรียนมัธยมต้นที่ต้องประสบกับความสูญเสียเมื่อลูกชายตัวน้อยวัย 4 ขวบของเธอถูกพบเป็นศพในสระว่ายน้ำ แต่ยิ่งเธอค้นหาความจริงมากเท่าไหร่ เธอกลับยิ่งรู้ความจริงว่ามันไม่ใช่แค่อุบัติเหตุ แต่เป็นฝีมือของนักเรียนชั่ว 2 คนที่ลงมือฆ่าลูกของเธออย่างโหดเหี้ยม โยโกะจึงวางแผนแก้แค้นและสั่งสอนฆาตรกรในคราบนักเรียนนี้อย่างสาสมแบบที่คุณเองก็นึกไม่ถึง

พูดได้ว่า Confessions คือหนังที่จะทำให้คุณ “เหวอ” แบบไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะนอกจากเนื้อเรื่องที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนยากที่จะคาดเดาทิศทางหรือตอนจบแล้ว การดำเนินเรื่องยังเต็มไปด้วยความอึดอัดจนคุณอาจหายใจได้ไม่เต็มปอด  คาแรคเตอร์ตัวละครที่ยิ่งกว่าคำว่า “หลอน” เพราะตัวละครหลักในเรื่องทั้ง “ครู” และ “นักเรียน” ต่างก็โหดเหี้ยมและบ้าคลั่งพอกัน ลืมเพลงโรงเรียนของเราน่าอยู่ที่คุณเคยร้องไปได้เลย เพราะคุณจะต้องตกใจว่าครูกับนักเรียนในเรื่องนี้ทั้งโฉดและโหดได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ

Battle Royale

เมื่อประเทศญี่ปุ่นใกล้ถึงคราวล่มสลาย ระบบการศึกษาพังพินาศ เศรษฐกิจตกต่ำ อาชญากรรมพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ รัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจออกกฎหมายพิเศษ “BR” โดยแต่ละปีจะมีการคัดเลือกนักเรียนมัธยมปลายที่ผลการเรียนแย่ที่สุด 1 ห้องเพื่อไปเล่นเกม “Battle Royale” ที่มีกฎง่าย ๆ คือ นักเรียนทุกคนจะต้องฆ่ากันเองภายในเวลา 3 วัน คนที่เหลือรอดเป็นคนสุดท้ายจะเป็นผู้ชนะและได้รับอิสรภาพอีกครั้ง ตลอดเวลาที่อยู่ในเกม ทุกคนจะต้องใส่ปลอกคอระเบิด หากคิดหลบหนีปลอกคอก็จะระเบิด หรือหากภายใน 3 วันยังไม่มีผู้ชนะปลอกคอก็จะระเบิดเช่นเดียวกัน โดยมี “คิตาโนะ” ครูประจำชั้นจอมโหดทำหน้าที่ควบคุมเกม

เรียกได้ว่านี่คือหนังญี่ปุ่นระดับตำนานอีกเรื่องหนึ่งที่คอหนังยุค 1990-2000 จะต้องรู้จักกันดี แม้ตัวหนังจะไม่ได้มีเนื้อเรื่องที่ซับซ้อนมากไปกว่าการจับเด็กนักเรียน ม.ปลาย 40 กว่าคนมาปล่อยไว้บนเกาะร้างเพื่อให้ฆ่ากันเอง แต่ตัวหนังกลับไม่ได้เน้นขายแอคชั่น แต่มันกลับเต็มไปกลิ่นอายของหนังสยองขวัญที่คนดูจะต้องลุ้นและเอาใจช่วยไปกับตัวละครว่าจะเดินไปเจออะไรบ้าง เพราะตอนนี้ก็ไว้ใจเพื่อนคนไหนไม่ได้ทั้งนั้น  แถมหนังยังมีความ ดราม่าที่สะท้อนปัญหาชีวิตวัยรุ่นญี่ปุ่นในยุคนั้นได้ดีอีกด้วย 

THE HUNT (2012)

เรื่องราวของ “ลูคัส” (Mads Mikkelsen) คุณครูใจดีผู้เป็นที่รักของเด็ก ๆ แม้เขาจะอย่าร้างกับภรรยาเก่า แต่ชีวิตของเขาตอนนี้ก็กำลังไปได้สวย ลูคัสกำลังมีแฟนใหม่และกำลังได้สิทธิ์รับลูกชายกลับมาเลี้ยง แต่ความหวังทั้งมวลของเขาก็ต้องมลายหายไปในพริบต่อเพียงเพราะคำโกหกของนักเรียนหญิงคนหนึ่ง ชื่อเสียงเกียรติยศของเขาถูกทำลายป่นปี้ ถูกตราหน้าว่าล่วงละเมิดทางเพศเด็ก ลูคัสสูญสิ้นทุกสิ่งอย่างโดยที่เขาไม่สามารถอธิบายอะไรได้เลยเพราะสังคมได้ตัดสินเขาไปแล้ว

ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ แต่ THE HUNT มันกลายเป็นหนังเสียดสีสังคมที่ชอบอุปทานหมู่รวมถึงกระบวนการยุติธรรมแบบระบบกล่าวหาได้ดีที่สุดหนึ่งเรื่อง โดยตัวหนังฉายให้เราเห็นภาพของ ลูคัส ผู้บริสุทธิ์ที่ตกเป็นจำเลยของสังคมเพียงเพราะคำพูดของเด็กสาวคนหนึ่งที่กล่าวหาว่าเขาล่วงละเมิดทางเพศเธอ แต่ความจริงแล้วเธอแต่งเรื่องขึ้นเพราะผิดหวังจากการแอบชอบครูของตัวเอง หนังพาเราดำดิ่งสู่ด้านมืดมิดของสังคมที่ทำลายชีวิตผู้บริสุทธิ์คนหนึ่งจนป่นปี้  THE HUNT มันจึงคล้ายกับการเสียดสีพวกผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ชีวิตมากมาย แต่กลับทำตัวเหมือนกระต่ายตื่นตูม เชื่อทุกอย่างตามกระแสหรือได้ยินตาม ๆ กันมาโดยปราศจากการตั้งคำถามหรือฟังหูไว้หู  แม้ว่าจุดเริ่มต้นมันจะมาจากคำพูดที่ไม่ได้คิดหน้าคิดหลังของเด็กคนหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรเด็กก็คือเด็ก มันจึงขึ้นอยู่ที่ “ผู้ใหญ่” ว่าจะเชื่อเด็กไปทั้งอย่างนั้นหรือใช้วุฒิภาวะและสติปัญญาในฐานะผู้ใหญ่คิดให้ถี่ถ้วนก่อนจะทำลายชีวิตใครคนหนึ่ง

21 (2008)

เรื่องราวของ เบน แคมป์เบล (Jim Sturgess) นักศึกษามหาวิทยาลัย M.I.T. ที่ฉลาดเข้าขั้นอัจฉริยะ แต่มีปัญหาเรื่องการเงินอย่างหนัก จนเขาได้พบกับศาสตราจารย์ “มิคกี้ โรซา” (Kevin Spacey) อาจารย์คณิตศาสตร์ที่กำลังรวบรวมนักเรียนหัวกะทิเพื่อหาวิธีโกงไพ่ Black Jack ของบ่อนใหญ่ในเมืองลาสเวกัส  พวกเขากอบโกยเงินจากคาสิโนได้เป็นกอบเป็นกำ กว่าจะรู้ตัวอีกทีพวกเขาก็ถลำลึกเข้าไปในวงจรอุบาทว์ที่ยากจะถอนตัว ขณะเดียวกัน “โคล วิลเลียมส์” (Laurence Fishburne) นักจับกลโกงไพ่ของคาสิโนก็กำลังสืบสาวใกล้ถึงตัวพวกเขามากขึ้นทุกที เกิดเป็นเกมหักเหลี่ยมชิงไหวชิงพริบในชีวิตจริงที่ยิ่งกว่าการเล่นไพ่

สำหรับใครที่เป็นคอไพ่หรือคุ้นเคยกับการเล่นไพ่ชนิด Black Jack คุณต้องไม่พลาดหนังเรื่องนี้ เพราะตัวหนังอิงอยู่บนทฤษฎีโกงไพ่ที่ทำได้จริง (แม้ว่าจะยากมาก ๆ) โดยอาศัยการ “นับไพ่” ซึ่งต้องใช้คนที่มันสมองระดับอัจฉริยะคณิตศาสตร์ โดยตัวหนังเล่นกับอารมณ์คนดูได้อย่างชาญฉลาด เพราะช่วงครึ่งเรื่องแรก หนังจะทำให้เรารู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับชีวิตอันอู้ฟู่ที่เหมือนลอยอยู่บนสวรรค์ของพวกพระเอก แต่ครึ่งเรื่องหลังหนังจะพาเราดำดิ่งสู่ธาตุแท้ของมนุษย์ที่มีทั้งความละโมภ ความเห็นแก่ตัว และความไม่รู้จักพอ ด้านมืดเหล่านี้ทำให้แม้แต่อาจารย์กับลูกศิษย์ก็หันมาฆ่ากันเองได้ง่าย ๆ

The Life of David Gale (2003)

เรื่องราวของ “เดวิด เกล” (Kevin Spacey) อดีตศาสตราจารย์ด้านปรัชญาของมหาวิทยาลัยชื่อดังที่อนาคตดับวูบเพียงชั่วข้ามคืนเมื่อลูกศิษย์สาวสุดแซ่บที่เขาเคยมีสัมพันธ์ด้วยไปแจ้งความกับตำรวจว่าถูกเขาใช้กำลังบังคับข่มขืน แม้เขาจะรอดคดีเพราะไม่มีหลักฐานเอาผิด แต่ข่าวที่หลุดออกไปในสังคมก็เพียงพอที่จะทำลายชีวิตของเขาจนย่อยยับ เกลถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย ไปสมัครงานใหม่ที่ไหนก็ไม่มีใครรับ จนกระทั่งหลายปีต่อมา เกลถูกจับอีกครั้งด้วยข้อหาฆ่าข่มขืนหญิงสาวนักรณรงค์ยกเลิกโทษประหาร แต่คราวนี้หลักฐานทุกอย่างมัดแน่น เขาถูกตัดสินให้รับโทษประหาร แต่ 3 วันก่อนถูกประหาร “บิตซีย์ บลูม” (Kate Winslet) นักข่าวสาวได้เข้าไปสัมภาษณ์เกมเพื่อทำสกู๊ปพิเศษ และเธอก็พบกับปริศนาบางอย่างเบื้องหลังคดีของเกลที่จะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ไปตลอดกาล  

ถ้าจะมีหนังเรื่องไหนสักเรื่องที่มักจะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงแทบทุกครั้งเมื่อมีข่าวการรณรงค์ยกเลิกโทษประหารก็ต้องเป็นเรื่อง The Life of David Gale ด้วยพล็อตเรื่องที่สุดแสนจะซับซ้อนซ่อนเงื่อนราวกับพาคนดูไปรื้อผนังบ้านที่ดูสมบูรณ์อยู่แล้วเพื่อเห็นภาพเขียนอันสวยสดงดงามที่ซ่อนอยู่อีกชั้นหนึ่ง แถมตัวหนังยังเสียดสีสังคมและกระบวนยุติธรรมที่แทบไม่เคยมีความยุติธรรมให้กับผู้บริสุทธิ์ที่ถูกกล่าวหาเลย ผู้ถูกกล่าวหานอกจากตกเป็นจำเลยในคดีแล้ว ยังตกเป็นเหยื่อของสังคมที่พร้อมจะรุมขย้ำผู้บริสุทธิ์แบบไม่ได้ผุดได้เกิด ไม่ต่างกับการได้รับโทษประหารทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่ได้ผิดเลยแม้แต่น้อย  หากใครชอบแนวสืบสวนสอบสวน-ดราม่าเข้ม ๆ หักมุม คุณเตรียม “เหวอ” ไปกับตอนจบของ The Life of David Gale ได้เลย

THE GREAT

สร้างจากเรื่องจริงพลิกวงการศึกษาของอเมริกาในปี 1935 เมื่อ “เมลวิน โทลสัน” (Denzel Washington) ศาสตราจารย์แห่งวิทยาลัย Wiley College Texas ซึ่งเป็นวิทยาลัยเล็ก ๆ ปลายแถวในระบบการศึกษาของอเมริกาได้รวมกลุ่มนักศึกษาผิวดำเป็นทีมโต้วาทีเพื่อเข้าแข่งขันระดับประเทศ พวกเขาชนะมาอย่างพลิกความคาดหมายจนในที่สุดพวกเขาต้องต่อกรกับทีมโต้วาทีอันดับหนึ่งของประเทศจากมหาวิทยาลัย Harvard ที่ไม่เคยมีใครโค่นได้

The Great Debaters ถือเป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่สะท้อนความขัดแย้งและความไม่เท่าเทียมทางด้านสีผิวของสังคมอเมริกันออกได้อย่างคมคาย โดยเฉพาะในระบบการศึกษายุคนั้นที่เต็มไปด้วยการดูถูก เหยียดหยาม และแบ่งแยกกันอย่างชัดเจนระหว่างมหาวิทยาลัยของคนผิวขาวกับมหาวิทยาลัยของคนผิวดำ แน่นอนว่าสถาบันการศึกษาของคนผิวขาวย่อมได้รับการสนับสนุนจากรัฐมากกว่าของคนผิวดำอย่างเทียบไม่ติด แต่ถึงอย่างนั้น ศาสตราจารย์เมลวิน โทลสันก็แสดงให้เห็นแล้วว่าคนผิวดำก็ไม่ได้โง่คนผิวขาวแม้แต่น้อย

The school of Rock (2003)

เรื่องราวของ “ดูอี้ ฟินน์” (Jack Black) นักดนตรีไส้แห้งที่บูชาเพลงร็อคแอนด์โรลสุดชีวิต วันหนึ่งเขาได้รับโทรศัพท์จากโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งที่ต้องการจ้าง “เน็ต” รูมเมตร่วมห้องของเขาไปเป็นครูส่วนพิเศษ ดูอี้จึงตัดสินใจสวมรอยเป็นเน็ตแอบเข้าไปสอนหนังสือในโรงเรียน แต่เขาแทบไม่มีความรู้อะไรติดตัวเลยนอกจากดนตรีร็อคที่เขาเล่นมาทั้งชีวิต ดูอี้จึงรวบรวมลูกศิษย์ในชั้นเรียนตั้งเป็นวงดนตรีร็อคแบบงง ๆ เพื่อเข้าแข่งขันกับวงดนตรีร็อคของผู้ใหญ่

เรียกได้ว่า The school of Rock คือหนังแนวคอมเมดี้ดูเพลิน ๆ ที่คอเพลงร็อคยุค 80-90 จะต้องถูกใจอย่างแน่นอน เพราะมันเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเป็นร็อครุ่นเก๋าที่ชวนให้นึกถึงวงร็อคในตำนานอย่าง ACDC หรือ Red Hot Chili Peppers อะไรทำนองนั้น แต่มันถูกปรับให้มีความน่ารักเข้ากับเด็กประถมได้อย่างน่าประหลาด แถมตอนจบแบบสูตรสำเร็จที่เต็มไปด้วยความ Feel Good ตามสไตล์หนังคอมเมดี้ก็ยิ่งทำให้หนังเรื่องนี้ย่อยง่ายเหมาะกับทุกเพศทุกวัย

Whiplash (2014)

เรื่องราวของ “แอนดรูว์” (Miles Teller) นักเรียนโรงเรียนดนตรีชื่อดังที่ใฝ่ฝันอยากเป็นมือกลองวงดนตรีแจ๊ส จนเขาได้เข้าร่วมวงแจ๊สของ “เทอเรนซ์ เฟลชเชอร์” (J.K. Simmons) ครูดนตรีแจ๊สรุ่นเก๋ามากประสบการณ์แถมยังขึ้นชื่อเรื่องความโหดและความเถื่อนในการฝึกซ้อมอีกด้วย  แอนดรูว์ต้องต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อช่วงชิงเก้าอี้ตัวจริงในวง แถมต้องทนกับความป่าเถื่อนของเทอเรนว์จนเลือดตกยางออกเพื่อความฝันเดียวคือได้ขึ้นไปเล่นบนเวทีอย่างเต็มภาคภูมิ

Whiplash คือหนังที่อัดแน่นไปด้วยพลังของดนตรีแจ๊สทั้งภาพและเสียง คนที่ไม่มีความรู้หรือเคยฟังดนตรีแจ๊สมาก่อนก็สามารถสนุกไปกับมันได้ตลอดทั้งเรื่อง แม้เราจะไม่รู้ว่าห้องดนตรีคืออะไร คีย์ไหนเพี้ยนยังไง โน้ตตัวนี้อ่านว่าอะไร แต่เราก็ยังอินและลุ้นไปกับมันได้แบบเดือด ๆ แถมตัวละครหลักทั้ง “แอนดรู” และ “เทอเรนซ์” ก็แสดงได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะเทอเรนซ์ที่แสดงโดย J.K. Simmons แสดงได้ถึงจุดเดือดของความเป็นครูแบบขั้นสุดจนเขาสามารถคว้ารางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมได้จากเรื่องนี้

Innocent Thing (2014)

เรื่องราวของ “จุนกิ “(จางฮยอก) อดีตนักกีฬารักบี้สุดหล่อที่ได้รับบาดเจ็บจนต้องผันตัวมาเป็นครูวิชาพละของโรงเรียนหญิงล้วนแห่งหนึ่ง  นักเรียนทุกคนต่างก็หลงเสน่ห์ของจุนกิ ทำให้จุนกิต้องพยายามวางตัวให้ดีอยู่ตลอดเพื่อไม่ให้มีข่าวแย่ ๆ และที่สำคัญเขาแต่งงานมีภรรยาที่กำลังท้องแก่ใกล้คลอดแล้ว จนกระทั่ง “ยองอึน” (โจโบอา) นักเรียนสาวที่ดูใสซื่อไม่มีพิษมีภัย แต่กลับรุกเข้าหาจุนกิอย่างหนักหน่วงเพื่อหวังพิชิตใจครูพละ ยิ่งจุนกิพยายามถอยห่างยองอึนมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรุกหนักมากขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งวันหนึ่งยองอึนก็เลิกปกปิดตัวตนที่แท้จริงของตัวเองและทำทุกอย่างเพื่อครอบครองครูพละที่เธอหลงใหลให้ได้

ใครที่ไม่ชอบหนังสไตล์ดำเนินเรื่องเอื่อย ๆ แบบไม่มีอะไรพิเศษให้ตื่นเต้นนักอาจจะต้องใช้ความอดทนกับการดู Innocent Thing สักเล็กน้อย เพราะตัวหนังไม่ได้มีความสยองขวัญหรือลุ้นระทึกอะไรทำนองนั้น แต่หนังพยายามท้าทายศีลธรรมและความอดทนของคนดูว่าถ้าเราเป็นจุนกิที่มีนักเรียนสาวสุดแซ่บมาตามอ่อยแทบทุกวิธีที่ทำได้ เราจะยับยั้งชั่งใจตัวเองได้หรือเปล่า แถมยังต้องลุ้นไปกับจุนกิด้วยว่ากำแพงความอดทนของเขาจะทะลายลงหรือไม่ นอกจากนี้หนังก็ยังย้อนเกร็ดบรรดาสาว ๆ ที่คิดอยากเป็นมือที่ 3 ของครอบครัวคนอื่นว่าอย่าประมาทคนเป็นภรรยาเป็นอันขาดเชียว เพราะบางครั้งคุณอาจจะไม่ได้แค่สู้อยู่กับความอดทนของผู้ชาย แต่คุณอาจจะต้องสู้กับความอดทนของฝ่ายภรรยาด้วย

The Class (2008)

เรื่องราวของ “ฟรองซัวส์” ครูสอนวิชาวรรณคดีฝรั่งเศสของโรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่งในย่านเสื่อมโทรมชานกรุงปารีส ทุก ๆ วัน ฟรองซัวส์จะต้องรับมือกับเด็กนักเรียนที่แทบไม่เคยสนใจการเรียน แถมยังก่อเรื่องวุ่นวายต่าง ๆ ไม่หยุดหย่อนตามสไตล์เด็กเกเรที่ไร้อนาคต  แต่ถึงอย่างนั้น ฟรองซัวส์ที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของความเป็นครูก็ยังยืนหยัดทำหน้าที่สอนหนังสือให้นักเรียนทุกวัน เหล่านักเรียนเหลือขอก็ยิ่งท้าทายและทดสอบความอดทนของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ

The Class ถือเป็นหนังคุณภาพล้นจอ การันตีด้วยรางวัลปาร์มทองคำประจำปี 2008 นอกจากนี้หนังสายรางวัลมากจะ “อินดี้” จนไม่แคร์คนดู เรียกได้ว่าตัดขาดคนดูออกจากหนังไปเลย “ดูได้ก็ดู ดูไม่ได้กูปิดไป” แต่สำหรับ The Class มันยังเป็นหนังรางวัลที่ยังคงรักษาคนดูไว้ได้พอสมควร เพราะตัวหนังเล่าเรื่องแบบเรียบง่าย เนิบ ๆ แต่ก็มีดราม่าขมวดปมมาให้คนดูสนุกไปกับการคลายปมของตัวละคร โดยเฉพาะวิธีการรับมือของพวกลูกศิษย์แสบ ๆ ไปจนถึงผู้ปกครอง

Text – Exocet

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save