เดี๋ยวนี้กระแสรักษ์โลกกำลังมา ผู้คนหันมาใส่ใจและพยายามปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์แบบเดิมๆ มาใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยลดใช้การพลาสติกลงและใช้สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เมื่อผู้คนตื่นตัวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ใส่ใจการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนเป็นมิตรกับธรรมชาติ ทางผู้ผลิตเองก็หันมาพัฒนาสินค้าและคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆแบบไม่เบียดเบียนโลก แถมสามารถใช้ประโยชน์ได้จริงมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้แต่บรรดาของใช้ในชีวิตประจำวันอย่างเสื้อผ้า รองเท้า หรือเครื่องประดับเองก็เกิดการสร้างสรรค์หยิบจับวัสดุจากธรรมชาติหรือนำขยะพลาสติกมาออกแบบเป็นคอลเลกชันรักษ์โลกที่เห็นแล้วน่าใช้ น่าซื้อมากกว่าเป็นงานขายแค่ไอเดียแต่ใช้จริงไม่ได้
1. Ochis Coffee
มองผิวเผินอาจจะดูไม่ออกเลยว่านี่เป็นแว่นตาที่ผลิตจากเมล็ดกาแฟ ถูกออกแบบและพัฒนาโดย Max Gavrilenko ภายใต้ชื่อแบรนด์ ‘Ochis Coffee’
แว่นชิ้นนี้เป็นงานแฮนด์เมดที่ผลิตจากเมล็ดกาแฟและเมล็ดแฟล็กซ์บดละเอียด โดยใช้น้ำมันถั่วเหลืองมาผ่านกระบวนการทำให้เป็นพลาสติกชีวภาพ (biopolymer) แทนการใช้ปิโตรเลียมเพื่อใช้เป็นกาวสำหรับประกอบ ซึ่งการนำวัสดุธรรมชาติมาใช้เป็นส่วนประกอบทุกอย่างของแว่นช่วยให้กรอบแว่นชิ้นนี้สามารถย่อยสลายได้เร็วกว่ากรอบแว่นพลาสติกทั่วไปถึง 100 เท่า แถมขณะสวมใส่คุณจะได้กลิ่นหอมเย้ายวนของกาแฟ
ไม่เพียงแค่ใส่ความรักษ์โลกลงไปในกระบวนการผลิต แต่ทางแบรนด์ยังคงใส่ใจฟังก์ชันการใช้งานจริงโดยออกแบบให้มีน้ำหนักเบา ใส่สบาย ขาแว่นยืดหยุ่นง่ายสามารถปรับดัดให้เข้ากับรูปหน้าได้สะดวกแบบไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใดๆเสริม
ทั้งยังรักษาความเป็นแฟชั่นโดยออกแบบกรอบให้เลือกด้วยกัน 5 ดีไซน์ แถมมีเลนส์ให้เลือก 4 สี ซึ่งตัวเลนส์นั้นช่วยในการตัดแสงสะท้อนและป้องกันรอยขีดข่วนได้ด้วย
2. Okewa Recycled Line
Okewa เป็นแบรนด์จากประเทศนิวซีแลนด์ที่เชี่ยวชาญในเรื่องการออกแบบและผลิตเสื้อกันฝน โดยมักหยิบประเด็นของสภาพภูมิอากาศ วิถีชีวิต ตลอดจนวัฒนธรรมของเมืองนั้นๆ มาเป็นแนวคิดหลักในการทำงาน นอกจากผลงานของทางแบรนด์จะเน้นหนักเรื่องคุณภาพของการใช้งานแล้วยังโดดเด่นด้านดีไซน์ที่มีความโมเดิร์นแต่ก็ให้ลุคซุกซน ดูสนุกสสนานในเวลาเดียวกัน
‘Okewa Recycled Line’ เป็นคอลเล็กชั่นเสื้อกันฝนที่ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อตอบรับกับแนวคิดความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมด้วยการลดจำนวนขยะพลาสติกที่กำลังจะเกิดขึ้น ทางแบรนด์จึงนำขวดพลาสติกแบบใสมาเป็นวัสดุชิ้นสำคัญในการสร้างสรรค์เสื้อกันฝนคอลเลกชันนี้
เริ่มแรกของการผลิตจะทำการแยกประเภทขวดพลาสติกออกเพื่อหาขวดพลาสติกใส จากนั้นจึงนำขวดที่ได้ไปบดให้ละเอียด หลอมเข้าด้วยกันและนำมาอัดให้กลายเป็นเส้นใยโพลีเอสเตอร์ที่พร้อมนำไปตัดเย็บ โดยเสื้อแบบโค้ทยาวเกิดจากการนำขยะขวดพลาสติกจำนวน 31 ขวดมาใช้ ขณะที่เสื้อกันฝนแบบแจ็คเก็ตใช้จำนวนขวดพลาสติกเฉลี่ยที่ 22 ขวด
การใช้ขยะพลาสติก 100 % สำหรับตัดเย็บนอกจากจะช่วยเซฟโลกให้ปริมาณขยะลดน้อยลง ยังช่วยให้เสื้อกันฝนคอลเลกชันนี้มีความอ่อนนุ่ม ทนทาน สามารถกันลม และป้องกันน้ำได้ถึง 10,000 มิลลิเมตร
3. nat-2
แบรนด์นี้เขายึดมั่น ถือมั่น ลดการผลาญทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของวงการแฟชั่นให้จงได้เพราะรองจากธุรกิจน้ำมันก็อุตสาหกรรมแฟชั่นนี่แหละที่ก่อให้เกิดมลพิษทางสิ่งแวดล้อมมากที่สุดในโลก
nat-2 จึงพยายามใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุดกับรองเท้าคอลเลกชันนี้ เริ่มตั้งแต่พื้นรองเท้าด้านนอกที่ทางผู้ก่อตั้ง Sebastian Thies เลือกใช้ยางธรรมชาติแทนการใช้ยางสังเคราะห์เหมือนกับรองเท้าทั่วไปเพื่อลดปัญหาสารเคมีปนเปื้อนในดินและอันตรายจากสารเคมีที่พนักงานอาจได้รับ
ส่วนด้านนอกที่เห็นเหมือนหนังสัตว์นั้น จริงๆ แล้วได้มาจากการนำขวดพลาสติกไปรีไซเคิล และพื้นรองเท้าด้านในเองก็เป็นการนำจุกไม้ก๊อกมาเป็นวัสดุ จึงทำให้ได้มีผิวสัมผัสนุ่มไม่เหมือนใคร
แต่ที่สุดของการนำธรรมชาติมารังสรรค์เป็นสนีกเกอร์สุดเท่ คือ การนำกากกาแฟมาสกัดเป็นสีน้ำตาลช็อกโกแลตให้รองเท้าคู่นี้ ซึ่งนอกจากจะกลายเป็นรองเท้าสีสวยยังให้ผิวสัมผัสแบบหนังกลับแถมยังมีกลิ่นกาแฟจางๆ อีกด้วย
4. NPC UK Cotton + Corn
แบรนด์สปอร์ตชื่อดังอย่าง Reebok เองก็ไม่ได้นิ่งเฉยกับปัญหาขยะล้นโลกนำพืชใกล้ตัวมาออกแบบเป็นสนีกเกอร์สไตล์มินิมอลที่สามารถสลายได้ตามธรรมชาติแทนการใช้วัสดุจากน้ำมันยางหรือโฟมไป โดยใช้ชื่อว่า ‘NPC UK Cotton + Corn’
NPC UK Cotton + Corn เป็นรองเท้าคู่แรกที่ได้รับการการันตีจาก United States Department of Agriculture (USDA) ว่า 75% ของรองเท้าได้มาจากวัสดุทางธรรมชาติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตัวพื้นรองเท้าทำจากข้าวโพด ส่วนด้านในทำจากน้ำมันสกัดจากถั่ว และโครงด้านนอกรองเท้าทอขึ้นจากฝ้าย 100 เปอร์เซ็นต์
ซึ่งการนำวัสดุจากธรรมชาติมาใช้ในการผลิตนั้น Reebook ยืนยันว่าไม่ได้ทำให้การสวมใส่สบายลดลงไปจากรองเท้ากีฬารุ่นอื่นๆแน่นอนเพราะก่อนจะสร้างรองเท้าคู่นี้ขึ้นมานั้นได้มีการวิจัยและทดสอบกันหลายต่อหลายรอบ
Source : creativecitizen