แฟนบอลอายุประมาณ 25-30 ปีขึ้นไป น่าจะโตมาทันเกมฟุตบอลยอดนิยมอย่าง “วินนิ่ง 3” กันนะครับ วินนิ่งภาคคลาสสิก ที่คะแนนนักเตะจะเต็ม 9 กัน นักเตะที่มีจุดเด่นค่าพลังด้านใดด้านนึงถึงระดับ 9 ก็จะเป็นที่พูดถึงกัน โดยเฉพาะ Speed ที่ไว้วิ่งฉีกแนวรับขาดวิ่น หรือ Shot Power ที่เอาไว้ยิงองศาดีๆ เสียบมุมแบบนายทวารหมดสิทธิ์รับ
พอนึกถึงวินนิ่ง 3 ขึ้นมา ก็พาลนึกถึงความคลาสสิกของฟุตบอลยุค 90 ตามไปด้วย เพราะมันคือยุคที่การติดตามบอลเมืองนอกยากลำบากกว่าสมัยนี้มาก หลายครั้งดูได้แค่ผ่านไฮไลต์, หนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารรายสัปดาห์ ท่วงท่า และลีลาของเหล่านักเตะชั้นนำในยุคนั้น เลยต้องอาศัยจินตนาการเข้าช่วย นั่นเลยอาจจะทำให้ติดตราตรึงใจเราเป็นพิเศษ
พูดถึงเรื่องการยิงประตูด้วยความแรง หรือเรียกภาษาชาวบ้านกันว่า “ตีนหนัก” กับยุค 90 นั้น ก็มีแคนดิเดตให้เราคิดถึงอยู่หลายคน บางคนไม่ดัง แต่เคยยิงสนั่นเท้าให้จดจำอย่างพวกริชชี่ ฮัมฟรีย์ หรือเดวิด เฮิร์ส ที่วัดกันด้วยความเร็วของลูกบอลตอนยิงประตู
แต่เพื่อเป็นการหวนรำลึกถึงนักเตะที่โด่งดังในยุค 90 ไปด้วยในตัว เราเลยอยากจะขอตัดสินนักเตะ “Shot Power 9” ที่มีชื่อเสียงหน่อย โดยเราจะวัดจากความสม่ำเสมอ และสไตล์การยิงที่สนั่นเท้าตลอดอาชีพค้าแข้ง มากกว่าจะโฟกัสความแรงเป็นลูกๆ ไป
และ 9 นักเตะที่ยิงได้มันเท้าดีแท้ ในยุค 90 มีรายชื่อดังต่อไปนี้
แพททริค เอ็มโบม่า (แคเมอรูน)
แฟนบอลวินนิ่งยุคนั้นคงจำ “เดอะ แบก” ของทีมชาติแคเมอรูนในวินนิ่งได้ดี เอ็มโบม่า เป็นศูนย์หน้าตามสไตล์แอฟริกัน แข็งแกร่ง ไปกับบอลดี และที่สำคัญเท้าหนัก สามารถพังประตูได้ดีทั้งนอกกรอบ และในเขตโทษ
เอ็มโบม่า เคยสังกัดเปแอสเชมาก่อน แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ ไปดังอีกทีกับการไปค้าแข้งกับกัมบะ โอซาก้าในเจลีก ก่อนมาพีคอีกครั้งกับทีมชาติแคเมอรูน จนได้ย้ายไปค้าแข้งตในกัลโช่ เซเรีย อา กับกายารี่ และปาร์ม่า
คริสเตียน วิเอรี่ (อิตาลี)
ศูนย์หน้าจอมถล่มประตูชาวอิตาเลียน ที่เรามักจะเรียกชื่อเล่นว่า “โบโบ้” ถือเป็นกองหน้าสไตล์ครบเครื่อง ที่หาตัวจับยากในยุค 90 เป็นได้ทั้งตัวพักบอล และตัวจบสกอร์ไปในตัว โดยพลังอีซ้ายของโบโบ้ จัดได้ว่าเฉียบคม และทรงพลังในระดับต้นๆ ของโลก ในเวลานั้น
โบโบ้จัดเป็นกองหน้าพเนจรคนนึง ในลีกบ้านเกิด เล่นมาแล้วทั้งอินเตอร์, ยูเวนตุส, เอซี มิลาน, ลาซิโอ, ฟิออเรนติน่า แถมยังมีช่วงสั้นๆ ที่ไปค้าแข้งกับโมนาโก และแอต.มาดริด ที่พี่แกลง 32 นัด ยิง 29 ประตู!
พอล สโคลส์ (อังกฤษ)
จอมทัพหัวแดงเพลิงของปีศาจแดง จัดเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ที่ครบเครื่องที่สุดแห่งยุค โดยเฉพาะการอยู่ถูกที่ถูกเวลาเสมอ เมื่อทีมต้องการตัวเสริมในการเล่นเกมรุก ซึ่งรวมถึงลูกยิงอันทรงพลัง ซึ่งผลิตสกอร์สำคัญให้ทีมของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มานักต่อนัก
สโคลซี่ จัดเป็น “One Man Club” ซึ่งหาได้ยากในฟุตบอลยุคหลัง โดยเขาเริ่มสอดแทรกขึ้นมามีบทบาทในทีมปีศาจแดงตั้งแต่ซีซั่น 1994/95 ก่อนจะยึดตัวจริงสม่ำเสมอในเวลาต่อมา ลงเล่นให้ยูไนเต็ดมากกว่า 700 นัด ยิงได้ 155 ประตู
เอ็ดการ์ ดาวิดส์ (ฮอลแลนด์)
แม้มิดฟิลด์พันธุ์ดุเลือดดัทช์ จะไม่ได้มีความโดดเด่นในการพังประตูเท่าไหร่นัก เพราะหน้าที่หลักของเขาคือการเก็บกวาดแดนกลางในฐานะมิดฟิลด์ตัวรับ แต่หลายต่อหลายครั้ง เท้าซ้ายของเขาก็พิสูจน์ให้เห็นว่าทรงพลัง และหวังผลได้จากลูกยิงระยะไกล
ดาวิดส์ เป็นผลผลิตของอาแหยกซ์ อัมสเตอร์ดัม ก่อนจะโด่งดังเป็นที่จดจำกับยูเวนตุส และทีมชาติฮอลแลนด์ เจ้าของฉายา “พิตบูล” เคยมาค้าแข้งในอังกฤษด้วย กับสเปอร์, คริสตัล พาเลซ และทีมที่อินดี้อย่างบาร์เน็ต ที่แกลุกจากแขวนสตัดท์กลับมาเล่นหน้าตาเฉย
ซินิซ่า มิไฮโลวิช (ยูโกสลาเวีย)
กองหลังชาวเซิร์บ มีเครื่องหมายการค้าในเรื่องลูกเซ็ตพีซ ที่ยิงเหมือนกดรีโมท ทั้งทิศทาง และน้ำหนัก เท้าซ้ายของเขาหนักหน่วง และสร้างวิถีบอลที่เฉียบคมไม่เหมือนใคร โดยมิไฮโลวิช เคยยิงแฮททริคด้วยลูกฟรีคิกมาแล้ว ในนัดที่ลาซิโอ ชนะซามพ์โดเรีย 5-2 เมื่อปี 1998
แม้หลายคนจะคุ้นมิไฮโลวิช ในชุดของ “อินทรีฟ้า-ขาว” ลาซิโอ แต่จริงๆ แล้วเขาเคยเล่นให้โรม่า และซามพ์โดเรีย มาก่อน ตอนเลิกเล่น ก็ยังวนเวียนคุมทีมอยู่ในอิตาลีกับหลากหลายสโมสร โดยปัจจุบันกลับมาเป็นกุนซือของโบโลญญ่า ทีมแรกที่เขาคุมทีมเต็มตัว อีกครั้ง
จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์ (ฮอลแลนด์)
ศูนย์หน้าพระกาฬจอมถล่มประตูชาวดัทช์ จัดเป็นกองหน้าที่พังประตูด้วยลูกยิงเต็มข้ออยู่สม่ำเสมอ นอกเหนือจากพละกำลังในการเล่น เซ้นส์ในบริเวณพื้นที่สุดท้ายของเขา ก็เป็นทีเด็ด ที่ทำให้เขายิงถล่มทลายเสมอ ไม่ว่าไปเล่นกับทีมไหน
ก่อนจะย้ายมายิงระเบิดกับเชลซี ฮัสเซลเบงค์เคยเริ่มต้นเป็นที่รู้จักกับ “ยูงทอง” ลีดส์ ยูไนเต็ด มาก่อน จนได้ย้ายไปร่วมทีมแอต.มาดริด ก่อนจะโดนเชลซีซื้อมาร่วมทีม และซัดไปรวม 88 ลูกในระยะเวลา 4 ซีซั่นกับสิงห์บลู และย้ายไปทำผลงานได้ดีต่อที่มิดเดิลสโบรซ์
อลัน เชียร์เรอร์ (อังกฤษ)
“ฮ็อตช็อต” อลัน เชียร์เรอร์ จัดเป็นกองหน้าอังกฤษที่ครบเครื่อง และเล่นด้วยยากมากในยุคนั้น นอกเหนือจากชั้นเชิงที่ไม่เคยเป็นรองกองหลังคนใด เชียร์เรอร์ ยังมีพลังการยิงประตูที่รุนแรง และเฉียบคม โดยเฉพาะลูกวอลเล่ย์แบบไม่ต้องจับ ที่หาคนยิงได้ดีเหมือนแกยาก
เชียร์เรอร์ เป็นผลผลิตของเซาแธมป์ตัน ก่อนจะย้ายมารุ่งสุดขีดกับแบล็คเบิร์น โรเวอร์ อยู่ในชุดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในปี 1995 ก่อนจะย้ายมาเป็นตำนานกับนิวคาสเซิล ด้วยสถิติ 206 ประตู จาก 405 นัด และเป็นศูนย์หน้าเบอร์ 1 ของทีมชาติอังกฤษในยุค 90 อีกด้วย
โรแบร์โต้ คาร์ลอส (บราซิล)
แบ็คซ้ายตีนระเบิด ที่ทั้งแฟนบอล และแฟนเกมวินนิ่ง จดจำได้ดี กับการเล่นเกมรุกที่ไม่มีหมด และลูกยิงอันทรงพลัง โดยเฉพาะการซอยเท้าถี่ๆ เข้ามายิงฟรีคิก ที่ทำเอากำแพง และผู้รักษาประตูต้องอกสั่นขวัญแขวน
ลูกยิงอันเป็นที่เลื่องลือของคาร์ลอส หนีไม่พ้นลูกฟรีคิก “บานาน่า คิก” ที่เขายิงให้ทีมชาติบราซิล ในเกมพบฝรั่งเศสในศึกคอนเฟดเดอเรชั่น 1997 โดยนอกจากสีเสื้อแซมบ้าแล้ว ภาพที่เราคุ้นเคยของแบ็คบราซิเลี่ยนคนนี้ คงจะเป็นการสวมชุด “ราชันสีขาว” เรอัล มาดริด ซึ่งคาร์ลอสลงเล่นเกินกว่า 500 นัด ในระยะเวลา 10 ปี
กาเบรียล บาติสตูต้า (อาร์เจนตินา)
“บาติโกล” กองหน้าอาวุธหนักชาวอาเจนไตน์ เปรียบเสมือนเครื่องจักรถล่มประตูอย่างแท้จริงในยุค 90 ด้วยลีลาการเล่นที่ดุดัน เร้าใจ โดดเด่นในกรอบเขตโทษ และมีลูกยิงที่รุนแรงเฉียบคม แบบหาตัวจับยาก
บาติโกล เป็นเด็กปั้นของนีเวลส์ โอลด์ บอยส์ ก่อนจะผ่านการลงเล่นกับทั้งริเวอร์เพลท และโบคา จูเนียส์ 2 ยักษ์ใหญ่ในบ้านเกิด และย้ายมาโด่งดังสุดขีดกับ “ม่วงมหากาฬ” ฟิออเรนติน่า ที่ที่เขาเป็นดั่งตำนาน หลังรับใช้ทีมเกือบ 10 ปี ไม่ย้ายหนีไปไหน แม้จะมีทีมใหญ่มากมายอยากได้ตัว โดยกับฟิออฯ เขากระซวกประตูไปเกิน 200 เม็ด จากการลงเล่นราว 330 นัด
กับทีมชาติ “ฟ้า-ขาว” อาร์เจนตินา บาติโกลคว้าแชมป์โคปา อเมริกา 2 สมัย บวกกับคอนเฟดเดอเรชั่น อีก 1 สมัย มีสถิติพังประตูที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน 77 นัด ยิงไปถึง 54 ประตู
Picture : Tapatalk, ESPN, The Telegraph, Pinterest, Vanila Sky, KingFut, Inkhel, The Independent, Indosport, The42, Sky Sports, Newcastle United, The Times, The18
Clip : TB10 Football, Barbosa Futbol Videos, TWG HD, Football BR, mr bundesteam, Gabriel Batistuta