เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาลฟุตบอลยุโรป (จริงๆ ต้องเรียกว่าทางตรง 100 เมตรสุดท้าย ถึงจะถูก) ก็ย่อมเต็มไปด้วยความเข้มข้น ในหนทางก้าวเป็นสู่แชมป์เป็นธรรมดา นอกเหนือจากแชมป์ลีกในประเทศต่างๆ ก็ต้องพูดถึงฟุตบอลถ้วยยุโรป โดยเฉพาะถ้วย “บิ๊กเอียร์” ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ซึ่งเดินทางมาถึงรอบรองชนะเลิศแล้ว
4 อรหันต์ที่หักด่านฝ่าเข้ามาถึงรอบนี้ ต้องยอมรับว่ามีความเซอร์ไพรส์อยู่ไม่น้อย เพราะแต่ละทีมมีเหตุผลที่ “ไม่น่า” จะมาถึงตรงนี้แตกต่างกัน
เส้นทาง 4 ผู้เหลือรอด
“ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ถือเป็นทีมที่ผ่านเส้นทางปีนี้มาอย่างโชกโชน รอบแบ่งกลุ่ม 3 นัดแรกมีแค่แต้มเดียว แต่ก็พลิกกลับมาเข้ารอบเป็นที่ 2 ของกลุ่ม ก่อนจะผ่านโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมที่ว่ากันตามหน้าสื่อ มีผลงานซีซั่นนี้ดีกว่าพวกเขาหมด
อาแหยกซ์ อัมสเตอร์ดัม ทีมพลังหนุ่มม้ามืดที่น่าจับตามอง กรุยทางมาตั้งแต่รอบคัดเลือกรอบที่ 2 ต้องผ่านบาเซิล, สตองดาร์ ลีแอช และดินาโม เคียฟ ถึงจะผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่มได้ เข้าสู่รอบน็อคเอาท์แบบไม่แพ้ใคร ก่อนจะล้มทั้งเรอัล มาดริด และยูเวนตุส ด้วยเกมเยือนที่เฉียบขาด เรียกว่าปีนี้ พวกเขายังไม่เคยแพ้เกมเยือนใน UCL เลยสักนัด
“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล รองแชมป์เมื่อซีซั่นก่อน กลับมาหนนี้ตะกุกตะกักด้วยการพ่ายนัดเยือน 3 นัดรวดในรอบแบ่งกลุ่ม จนต้องเอาตัวรอดด้วยการชนะนาโปลีในนัดสุดท้าย รอบน็อคเอาต์เจอบาเยิร์น มิวนิค ซึ่งหลายฝ่ายคิดว่าพวกเขาจะเทสมาธิไปลุ้นแชมป์ลีกมากกว่า แต่ก็โชว์ฟอร์มที่ดีจนล้มเสือใต้สำเร็จ ก่อนจะผ่านปอร์โต้ วัวเคยค้าม้าเคยขี่ ซึ่งเป็นเหมือนทีมแพ้ทางพวกเขา
“เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า ดูจะพลิกความคาดหมายน้อยที่สุด เพราะกรุยทางเข้ามาได้ค่อนข้างชิล ไม่ถึงกับต้องลุ้นระทึกมากมาย แต่ถ้าเช็คประวัติกัน ต้องไม่ลืมว่าพวกเขามีอาถรรพ์ไม่ค่อยผ่านรอบ 8 ทีมสุดท้ายอยู่เหมือนกัน โดย 5 ซีซั่นหลังสุด พวกเขาผ่านรอบ 8 ทีมได้เพียงแค่ครั้งเดียว ในปีที่พวกเขาคว้าแชมป์ฤดูกาล 2014/15
นอกเหนือจากเส้นทางที่แต่ละทีมต้องตะลุยผ่านทางมาแบบไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบ ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจในรอบรองชนะเลิศของยูฟ่า แชมป์เปียนส์ ลีก ซีซั่นนี้ ให้น่าติดตามอีก วันนี้เลยขอมาเล่าให้ฟังกันหน่อย
รอบแห่งการดวลทีมเก่า
ถ้าพูดเรื่องการต้องกลับมาเจอทีมเก่า ที่คลาสสิกที่สุดคงหนีไม่พ้นการกลับมาเยือนแอนฟิลด์อีกครั้งของ “หลุยส์ ซัวเรซ” และ “ฟิลิปเป้ คูตินโญ่” อดีตสองสตาร์อเมริกาใต้ ซึ่งเดินออกจากลิเวอร์พูลไป เพื่อไขว่คว้าความฝันที่จะได้สวมเสื้อแดง-เลือดหมูของบาร์เซโลน่า เช่นกัน
เทียบถึงการจากไปอย่างน่าจดจำแล้ว ซัวเรซจะมีภาษีดีกว่าเยอะ ตรงที่ทุ่มเทสุดพลังให้กับหงส์แดง โดยเฉพาะฤดูกาล 2013/14 ที่หงส์แดงเข้าใกล้แชมป์พรีเมียร์ลีกที่สุด โดยเขาระเบิดฟอร์มยิงถึง 31 ประตู จนคว้าดาวซัลโวของลีก แบบทิ้งห่างอันดับ 2 ถึง 10 ประตู (อันดับสองคือแดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ นั่นเอง)
กับคูตินโญ่ มีประเด็นปัญหาพอตัว ตรงที่เจ้าตัวมีอาการงอแงอยากย้ายทีมมากเป็นพิเศษ มีอาการที่แจ้งว่าเจ็บหลัง ซึ่งมีน้อยคนจะเชื่อว่าเขาเจ็บจริง รวมถึงมีการหลั่งน้ำตาหลังพังประตูให้ทีมชาติบราซิลได้ เปรียบเหมือนเขาอึดอัดที่โดนบีบไม่ให้ย้ายทีมยังไงยังงั้น
นอกเหนือของการกลับมาเยือนแอนฟิลด์ของซัวเรซ และคูตี้แล้ว อีกคู่นึง นักเตะสเปอร์มากมาย ก็จะมีโอกาสได้กลับไปเยือนอาแหยกซ์ อัมสเตอร์ดัม สโมสรที่ปั้นพวกเขามาเช่นกัน
รายชื่อของนักเตะไก่เดือยทองนั้นมีหลายคนเลย ไล่ตั้งแต่แยน ฟาร์ทองเก้น และโทบี้ อัลเดอร์ไวเรล สองกองหลังทีมชาติเบลเยี่ยมซึ่งเคยเป็นตัวหลักคู่กันที่อาแหยกซ์มาก่อน แม้ฟาร์ทองเก้นจะย้ายโดยตรงมายังสเปอร์ แต่อัลเดอร์ไวเรล ออกไปผจญภัยกับแอตเลติโก มาดริดมาก่อน แต่ทุกวันนี้ ทั้งคู่คือคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟที่ดีที่สุดของไก่เดือยทอง
ต่อมาคือคริสเตียน อิริคเซ่น เพลย์เมกเกอร์คนสำคัญของทีมชาติเดนมาร์ก เขาเองเป็นผลผลิตจากอาแหยกซ์เช่นกัน ก่อนจะย้ายมาสเปอร์ในปี 2013 ให้หลังจากแฟร์ทองเก้น 1 ปี
คนสุดท้ายน้องเล็กสุด ก็คือดาวินซอน ซานเชส กองหลังชุดชิงแชมป์ยูโรป้า คัพ ในปี 2016/17 กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก่อนจะย้ายมาร่วมทีมสเปอร์ ในราคาสูงถึง 36 ล้านปอนด์
ความภาคภูมิใจจาก “เดอะ เซนต์”
อาจจะงงๆ หน่อย ว่ามันเกี่ยวอะไรกับทีม “นักบุญ” เซาแธมป์ตัน กันนะ เพราะพวกเขายังลุ้นหนีตกชั้นในพรีเมียร์ลีกอยู่เลย
เฉลยก็ได้ฮะ สิ่งที่มีเกี่ยวกับนักบุญ และ (น่าจะ)ทำให้สโมสรจากแดนใต้ของอังกฤษได้ภาคภูมิใจไม่มากก็น้อย คือรอบรองฯ UCL ปีนี้ เต็มไปด้วยอดีตผู้จัดการทีม และนักเตะของพวกเขา เต็มไปหมด!
แน่นอนเลยว่านักเตะของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล คือกลุ่มใหญ่สุดของอดีตนักเตะนักบุญ ที่จะได้เล่นในรอบรองชนะเลิศ ของถ้วยใหญ่สุดในยุโรป ไล่ตั้งแต่ เวอร์จิล ฟาน ไดค์, เดยัน ลอฟเรน, อดัม ลัลลาน่า, ซาดิโอ มาเน่ และอาจจะนับรวมอเล็กซ์ อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ที่ไม่รู้จะฟิตทันหรือเปล่า ไปด้วยอีกคน
คั่นเรื่องของนักเตะไว้นิด ด้วย “เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่” ผู้จัดการทีมชาวอาเจนไตน์ ซึ่งการที่เขาเตะตา และได้โอกาสคุมสเปอร์ ก็เพราะผลงานที่เขาทำไว้ได้ดีกับเซาแธมป์ตันเมื่อ 5 ปีก่อน จนทุกวันนี้ เขากลายเป็นกุนซือหนุ่มที่น่าจับตามองอย่างมากจากทีมยักษ์ใหญ่
ยังคงอยู่กับสเปอร์ เพราะยังมีอดีตนักเตะเซาแธมป์ตันในสังกัดไก่เดือยทองอีกตั้ง 3 คน ไม่ว่าจะเป็นโทบี้ อัลเดอร์ไวเรล ที่เคยเล่นแบบยืมตัวระยะสั้นๆ, วิคเตอร์ วานยาม่า กองกลางเคนย่าที่อยู่กับทีมนักบุญแดนใต้ตั้ง 3 ปี และโกล์สำรองเปาโล กัซซานิก้า ที่อยู่ร่วมทีมนานถึง 5 ปี
และต้องห้ามลืมดูซาน ทาดิช กองหน้าตัวต่ำชาวเซอร์เบีย ซึ่งพึ่งย้ายจากเซาแธมป์ตันไปร่วมทีมอาแหยกซ์ในซีซั่นนี้ ทาดิชโชว์ฟอร์มให้ยอดทีมแดนกังหันได้ยอดเยี่ยม อย่างใน UCL เอง ก็เล่นงานมาดริด และยูเว่ มาซะอ่วม
เทพไม่เทพก็ดูจากสถิติการพังประตู 34 ลูก จากการลงเล่น 50 นัดในซีซั่นนี้ โดย 9 ประตูของทาดิช มาจากการยิงใน UCL นี่แหละ!
สรุปนับรวมแล้ว มีศิษย์เก่านักบุญในรอบรองชนะเลิศ UCL ปีนี้ถึง 10 คน โอ้ว!
แชมป์นี้..ที่รอคอย
อย่างที่เกริ่นไปนิดนึงในช่วงต้น “บาร์เซโลน่า” ถือเป็นทีมที่ห่างหายจากความสำเร็จในถ้วยใหญ่สุดใบนี้สั้นที่สุด เพราะเมื่อ 4 ปีก่อน พวกเขาพึ่งจะคว้าแชมป์สมัยที่ 5 ไป แต่ถ้าเทียบกับความล้มเหลวใน 3 ปีหลัง และแชมป์กลายเป็นคู่ปรับสำคัญอย่างเรอัล มาดริดที่คว้าแชมป์ 3 ปีรวด จนเพิ่มเกียรติยศไปแตะหลัก 13 สมัย ปีนี้พวกเขาจึงไม่อยากพลาดที่จะตีตื้นขึ้นมาบ้าง
“ลิเวอร์พูล” ทีมที่แม้จะขึ้นไปเถลิงแชมป์จ้าวยุโรปมากที่สุดในเกาะอังกฤษ และเกือบได้สมัยที่ 6 เมื่อปีที่แล้ว แต่หากย้อนไปสมัยสุดท้ายที่พวกเขาครองแชมป์ ต้องย้อนไปในซีซั่น 2004/05 ในยุคของราฟา เบนิเตซ หรือ 14 ปีก่อนนู่น ยังไม่รวมเรื่องความสำเร็จส่วนตัวของเจอร์เก้น คลอปป์ ซึ่งต้องการแชมป์ถ้วยแรกกับสโมสร ตามระยะเวลา 4 ปี ซึ่งเขาเคยประกาศไว้
“อาแหยกซ์ อันสเตอร์ดัม” ยอดทีมแดนกังหันลม เคยเกรียงไกรคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 3 สมัยซ้อน ในยุคของโยฮัน ครัฟฟ์ช่วงต้นทศวรรษ 70 ก่อนมาทำได้อีกครั้งในฤดูกาล 1994/95 แต่นับจากนั้น พวกเขาไม่เคยทะลุเข้ามาชิงอีกเลย เคยเข้ารอบรองฯ ได้ก็แค่ครั้งเดียว มันจึงเป็น 24 ปีที่แสนยาวนาน
ยิ่งกับ “ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์” ตลอดระยะเวลา 136 ปี ที่ก่อตั้งสโมสรมา พวกเขาไม่เคยแม้แต่จะได้สัมผัสแชมป์ถ้วยใหญ่สุดของยุโรปแม้เพียงครั้งเดียว เคยเข้าถึงรอบรองฯ ในยูโรเปี้ยน คัพแค่หนเดียวเมื่อปี 1961/62 ดังนั้นแล้ว การเข้ามาได้ลึกขนาดนี้ของเมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ และลูกทีม จึงไม่มีอะไรให้เสีย นอกจากการทุ่มเทแบบหมดหน้าตัก
รอบรองชนะเลิศของศึกยูฟ่า แชมป์เปียนส์ ลีก จะแข่งกันแบบ 2 เลก ตามนี้
เลกที่ 1
ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ (เหย้า) VS อาแหยกซ์ อัมสเตอร์ดัม : คืนวันที่ 30 เม.ย.
บาร์เซโลน่า (เหย้า) VS ลิเวอร์พูล : คืนวันที่ 1 พ.ค.
เลกที่ 2
ลิเวอร์พูล VS บาร์เซโลน่า : คืนวันที่ 7 พ.ค.
อาแหยกซ์ อัมสเตอร์ดัม VS ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ : คืนวันที่ 8 พ.ค.
ผู้ที่ผ่านด่านรอบรองฯ ที่น่าจะสนุกดุเดือดมาได้ จะมีคิวดวลชิงดำกันในคืนวันที่ 1 มิ.ย. ที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน โดยซีซั่นนี้จะใช้สนาม “ว่านต๋า คอสโมโปลิตาโน่” สนามเหย้าของแอตเลติโก มาดริด เป็นสังเวียนแข้ง
ใครจะก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์…. ต้องติดตามกัน!
เพราะบอกตรงๆ ว่าเดายากมาก!
Picture : Liverpool FC, The Telegraph, Google News, ESPN, Deccan Chronicle, Twitter, Total Sports Picks, This Is Anfield, Medium, Cartilage Free Captain, Squawka, Sky Sports, Eagle Online, Ronaldo.com, Wikipedia