ตายยาก! 5 สุดยอดการ Comeback ในโลกฟุตบอล - The Macho
 
Roral Enfield - Hunter 350
728x150 - Nissan Almera
728x150 - Hunter4
ตายยาก! 5 สุดยอดการ Comeback ในโลกฟุตบอล

สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร คำกล่าวปลุกใจที่บอกว่าถ้ายังไม่ถึงที่สุด อะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้ากับฟุตบอลก็คงเป็นให้สู้จนสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้าย ฟังดูดีว่าไหมครับ แต่ถ้าทีมฟุตบอลที่เราเชียร์ตามหลังในสกอร์ที่ห่างมากอย่าง 3-0, 4-0 , 5-0 เชื่อว่าแม้จะรักแค่ไหน ในใจของเราก็คงยอมรับผลแพ้ชนะกลายๆ แล้ว แถมส่วนมาก ผลที่ออกมาก็ไม่ได้พลิกไปจากนั้นเท่าไหร่ แต่รู้ไหมครับ ว่ามีหลายครั้งที่การสู้จนสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้าย ก็สามารถสร้างสิ่งที่เรียกว่าปาฏิหาริย์ได้เช่นกัน และนี่คือการพลิกกลับมาชนะแบบเหนือความคาดหมาย “5 สุดยอดการ Comeback ในโลกฟุตบอล”

1. ทอตนัม ฮอตสเปอร์ 3-5 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด, 2001 (EPL)

Source : 365dm

พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในเดือนกันยายน 2001 ทอตนัม ฮอตสเปอร์ เปิดสนาม White Hart Lane ต้อนรับการมาเยือนของปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แชมป์เก่าจากฤดูกาลที่แล้ว ทั้งคุณภาพตัวผู้เล่น ความมั่นใจ และชื่อชั้นของยูไนเต็ด ทำให้ก่อนเกม หลายคนเชื่อว่านี่จะเป็นอีกเกมที่ง่ายสำหรับทัพปีศาจแดง

แต่ไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะเพียงแค่ครึ่งเวลาแรก สเปอร์ สามารถขึ้นนำได้ถึง 3 ลูก เริ่มจากนาทีที่ 14 สเปอร์ได้ลูกเตะมุม และ Dean Richards สอดตัวเข้ามาโหม่งขึ้นนำได้ก่อน จากนั้นนาที 24Les Ferdinand หลุดกับดักล้ำหน้าและยิงผ่านมือ ฟาเบียง บาร์กเตซ เข้าไป ก่อนที่นาทีที่ 45+3 Christian Ziege จะโหม่งทำประตูส่งให้สเปอร์ขึ้นนำ 3-0 ก่อนเสียงนกหวีดหมดครึ่งเวลาแรกเสียอีก

แต่หลังจากการแก้เกมของ Alex Ferguson ในช่วงพักครึ่งเวลา เกมก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด กองหน้า 3 คนของปีศาจแดงสามารถทำเกมได้ลื่นไหลกว่าครึ่งแรก และเพียง 46 วินาที ยูไนเต็ดก็สามารถทำประตูได้จากการโหม่งของ Andy Cole และนาทีที่ 57 David Beckham ได้เปิดลูกเตะมุมเข้าหัวของ Laurent Blanc โหม่งเข้าไปอย่างง่ายดาย ก่อนที่นาทีที่ 72 Van Nistelrooy จะโหม่งสวนตัวผู้รักษาประตูเข้าไป ทำให้ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ตีเสมอเป็น 3 – 3 ในที่สุด

จากนั้นก็ไม่มีอะไรหยุดพวกเขาได้อีกแล้ว เมื่อนาทีที่ 76 Verón ได้บอลในกรอบเขตโทษ และยิงหนีมือผู้รักษาประตูเข้าเสาสอง ยูไนเต็ดขึ้นนำเป็นครั้งแรกของเกม ก่อนที่นาทีที่ 87 David Beckham ได้ตะบันยิงปิดกล่องให้ยูไนเต็ดเอาชนะสเปอร์ได้ 5 – 3 ในที่สุด

2. นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 4-4 อาร์เซนอล , 2011 (EPL)

Source : premierleague25years

ฤดูกาล 2010 – 2011 อาร์เซนอลที่ฟอร์มแรงถึงขั้นลุ้นแชมป์ ต้องเดินทางมาเยือน นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ที่ตอนนั้นอยู่กลางตาราง แถมแมตช์ก่อนหน้าก็เพิ่งแพ้ฟูลแล่มมา แม้ผลการแข่งขันในเลกแรก จะเป็นฝั่งนิวคาสเซิลที่บุกไปชนะอาร์เซนอล ได้ 1-0 แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน อาร์เซนอลเต็มไปด้วยความมั่นใจ ด้วยผลงานไม่แพ้ใคร 7 นัดติดต่อกัน แมตช์นี้ โมเมนตัมเทไปทางปืนใหญ่อย่างชัดเจน

ซึ่งก็เป็นอย่างนั้น เพราะแค่ 10 นาทีแรกของเกม อาร์เซนอล สามารถขึ้นนำได้อย่างรวดเร็วจากลูกยิงของ Theo Walcott ในนาทีที่ 1 ลูกโหม่งของ Johan Djourou ในนาทีที่ 3 และ Van Persie ในนาทีที่ 10 และ 26 อาร์เซนอลขึ้นนำนิวคาสเซิล 4 ประตูก่อนครึ่งชั่วโมงแรกเสียอีก

และเกมก็ดูท่าจะเป็นของอาร์เซนอลแบบม้วนเดียวจบ แต่นาทีที่ 50 Abou Diaby กองกลางของอาร์เซนอลไปทำฟาวล์ Joey Barton จนได้ใบแดง อาร์เซนอลเหลือ 10 คน กับ 40 นาทีที่เหลือ ก่อนที่นาทีที 68 Joey Barton จะยิงจุดโทษช่วยให้นิวคาสเซิลตีตื้นขึ้นมา นาทีที่ 75 Leon Best จะยิงจ่อๆ เข้าไป และในนาทีที่ 83 นิวคาสเซิลได้จุดโทษอีกครั้ง และก็เป็น Joey Barton ที่สังหารจุดโทษเข้าไป ตอนนี้นิวคาสเซิลไล่ตามมาเป็น 3 – 4 แล้ว อาร์เซนอลเริ่มแพคเกมรับ หวังรักษาสกอร์นี้จนจบเกม

แต่ในนาทีที่ 87 Cheick Tioté กองกลางตัวรับของนิวคาสเซิลเห็นบอลถูกสกัดออกมาจากกรอบเขตโทษอาร์เซนอล เขาวอลเล่ห์แบบไม่จับนอกกรอบเขตโทษ บอลพุ่งเข้าตุงตะข่ายแบบที่ผู้เล่นอาร์เซนอลไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง นิวคาสเซิลสามารถพลิกนรกตีเสมออาร์เซนอล 4-4 ในนาทีเกือบสุดท้าย

https://www.facebook.com/newcastle.united.thailand.supporters.toon.army/videos/288413285182232/

3. บาร์เซโลน่า 6 – 1 ปารีส แซงต์ แชร์กแมง, 2017 (UCL)

Source : medium

แม้บาร์เซโลน่าจะได้ชื่อว่าเป็นทีมที่ดีที่สุดในโลก แต่หลังจากความพ่ายแพ้ต่อ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ด้วยสกอร์ 4 – 0 ในเลกแรก หมายความว่าในแมตช์นี้ บาร์ซ่า จะต้องยิงอย่างน้อย 4 ประตู และห้ามเสียประตู เพื่อผลเสมอ แต่หากหวังชนะ พวกเขาต้องยิงให้ได้ถึง 5 ประตู แม้เป็นยอดทีมอย่างบาร์เซโลน่าก็ยังเป็นงานที่ยากมากอยู่ดี

เมื่อเกมเริ่มขึ้น บาร์ซ่าโหมบุกอย่างหนักตั้งแต่นาทีแรก และได้ประตูออกนำเร็วตั้งแต่นาทีที่ 3 จาก Luis Suárez โหม่งจ่อๆ เข้าไป และนาทีที่ 40 Layvin Kurzawa กองหลังของเปเอสเชจะสกัดลูกยิงของ Andrés Iniesta ผิดเหลี่ยมเข้าประตูตัวเอง หมดครึ่งแรก บาร์ซ่านำ 2-0

ครึ่งหลังเริ่มได้ไม่นาน บาร์ซ่าก็ได้จุดโทษจากการเรียกฟาวล์ของ Neymar และเป็น Lionel Messi ที่ซัดเข้าไป สกอร์ 3-0 ตอนนี้บาร์ซ่าเริ่มมีความหวัง อีกลูกเดียวพวกเขาก็จะเสมอ

แต่ความหวังนั้นก็ดูท่าจะอยู่กับพวกเขาได้ไม่นาน เมื่อนาทีที่ 62 Edinson Cavani กองหน้าของเปเอสเชยิงด้วยเท้าขวาเข้าเสาแรกไป ตอนนี้สกอร์เป็น 3-1 แล้ว แถมเป็นการยิงประตูในฐานะทีมเยือนอีกด้วย ทำให้ตอนนี้หากบาร์ซ่าจะหวังเข้ารอบ พวกเขาต้องยิงเพิ่มอีก 3 ลูก โดยห้ามเสียประตูเพิ่มเด็ดขาด

จากงานที่ยากมาก กลายเป็นงานที่เป็นไปไม่ได้ เปเอสเชเล่นรับอย่างรัดกุมจนบาร์ซ่าเจาะไม่ได้ จนนาทีที่ 88 Neymar ได้ใช้โอกาสจากลูกฟรีคิกนอกกรอบเขตโทษ ยิงเข้าไปอย่างสวยงาม ตอนนี้สกอร์ 4-1 แล้ว ก่อนที่นาทีที่ 90 + 1 Luis Suárez จะเรียกฟาวล์ในกรอบเขตโทษ และให้ Neymar สังหารเข้าไป เปลี่ยนให้สกอร์เป็น 5-1 บาร์ซ่าต้องการอีกหนึ่งประตูเพื่อเข้ารอบ

เข้าสู่ช่วงทดเวลา ตอนนี้บาร์ซ่าโหมบุกแบบหมดหน้าตัก แต่เปเอสเชก็เล่นรับแบบเต็มสูบเพื่อรักษาสกอร์ไว้ เวลาเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ และดูท่าว่าจะจบลงด้วยสกอร์นี้ จนเข้าสู่ช่วงท้ายของการทดเวลาบาดเจ็บ นาทีที 90+5 Neymar เปิดบอลเข้ากรอบเขตโทษก่อนที่ Sergi Roberto จะยิงเข้าไป บาร์เซโลน่าทำได้ พวกเขาสามารถทำภารกิจที่เป็นไปไม่ได้และผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายใน UCL ได้สำเร็จ

https://www.youtube.com/watch?v=fVTiVdXdap8

4. ลิเวอร์พูล 4 – 0 บาร์เซโลน่า 2019 (UCL)

Source : foxsportsasia

หลังจากที่ Vincent Kompany ยิงลูกยิงผีจับยัดใส่ เลสเตอร์ ซิตี้ ในเกมพรีเมียร์ลีกนัดรองสุดท้าย ส่งให้แมนเชสเตอร์ซิตี้ครองอันดับ 1 บนตารางอย่างเหนียวแน่น วันนั้น ทั้งนักเตะและแฟนๆ ลิเวอร์พูลรู้ดีว่า พวกเขายากที่จะลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกแล้ว ความหวังที่ยังอยู่กับพวกเขา คือถ้วยยุโรปหูใหญ่ที่พวกเขายังมีลุ้นอยู่ แต่การมีลุ้นนั้น คือการเอาชนะทีมอย่าง บาร์เซโลน่า ด้วยสกอร์ที่ต้องขาด 4 ลูกขึ้นไป

ในเลกแรก บาร์เซโลน่า เปิดคัมป์ นู และเอาชนะลิเวอร์พูลได้อย่างหมดจด 3-0 หากลิเวอร์พูลต้องการจะพลิกเข้ารอบ ในเลกสอง ที่สนามแอนฟิลด์ พวกเขาต้องยิงถึง 4 ลูกโดยห้ามเสียแม้แต่ประตูเดียว แถมสภาพทีมยังขาดกองหน้าตัวเก่งอย่าง Mohamed Salah อีกด้วย ทำให้ก่อนเกมหลายฝ่ายมองว่าบาร์ซ่าเข้ารอบชิงชนะเลิศไปเกินครึ่งตัวแล้ว

แต่เริ่มเกมได้ไม่นานเสียงเชียร์ก็กระหึ่มทั่วสนาม เมื่อ Divock Origi ซ้ำลูกยิงของ Jordan Henderson เข้าไป เพียง 7 นาทีแรก ลิเวอร์พูลก็ขึ้นนำแล้ว

เกมดูท่าจะเข้าทางลิเวอร์พูลแล้ว แต่ไม่ใช่อย่างนั้นเลย เมื่อหลังจากนั้น บาร์ซ่าโชว์ฟอร์มที่ยอดเยี่ยม บุกเข้าใส่ลิเวอร์พูลและเกือบได้ประตูอยู่หลายครั้ง แต่กองหลังทัพหงส์แดงยังช่วยป้องกันได้ดี จบครึ่งเวลาแรก ลิเวอร์พูล 1 – 0 บาร์เซโลน่า

เริ่มครึ่งหลังมา บาร์ซ่าก็ยังเป็นฝ่ายที่ครองเกมเหนือกว่า แต่ไม่สามารถทำประตูตีเสมอได้ จนกระทั่งนาทีที่ 54 เป็นทางฝั่งลิเวอร์พูลที่ได้ประตูเพิ่ม จาก Georginio Wijnaldum วิ่งเข้ามาซัดบริเวณจุดโทษเข้าประตูไป ก่อนที่อีก 2 นาทีถัดมา Wijnaldum คนเดิม จะโหม่งลูกเปิดของ Xherdan Shaqiri เข้าไป ทำให้ลิเวอร์พูล ตามตีเสมอบาร์เซโลน่าได้สำเร็จ

เกมเต็มไปด้วยความกดดันของทั้งสองฝ่าย บาร์ซ่าได้โอกาสหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนให้เป็นสกอร์ได้ซัดที จนเกมเข้าสู่นาทีที่ 79 ลิเวอร์พูลได้ลูกเตะมุม ก่อนที่ Trent Alexander-Arnold จะทำแสบ เปิดลูกเตะมุมเร็วให้ Divock Origi ยิงเข้าไป ลิเวอร์พูลพลิกนรกเข้ารอบชิงชนะเลิศ UCL ได้สำเร็จ

https://www.youtube.com/watch?v=WLcVkrWPNys

5. แมนเชสเตอร์ซิตี้ 3 – 2 ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส , 2012 (EPL)

Source : mancity

แม้นี่จะไม่ใช่เกมที่มีสกอร์นำขาด ไม่ใช่เกมที่ทีมเล็กพลิกนรกกับทีมใหญ่ แต่ที่มาอยู่ในลิสต์นี้ เพราะแมตช์นี้มันวัดกันที่นาทีสุดท้ายตามคำพูด “ให้สู้จนสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้าย” เลยครับ

ในวันที่ 13 พฤษภาคม 2012 พรีเมียร์ลีกเดินทางมาสู่นัดตัดสิน แมนเชสเตอร์ซิตี้ และคู่ปรับร่วมเมือง อย่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด กำลังขับเคี่ยวแย่งแชมป์กันอย่างดุเดือด ก่อนเริ่มเกมทั้งคู่มีแต้มเท่ากัน แต่ แมนเชสเตอร์ซิตี้นำอยู่ด้วยผลประตูได้เสียที่มากกว่าอยู่เกือบสิบลูก ดังนั้น หากแมตช์นี้ แมนเชสเตอร์ซิตี้สามารถชนะใด้ พวกเขาก็จะได้แชมป์ไปครองทันที แถมได้มาเจอกับคู่แข่งอย่าง ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส ที่กำลังดิ้นรนหนีตกชั้น ฟังดูเป็นโจทย์ที่ไม่น่ายากของแมนซิตี้เลย

แต่ผิดคาด เพราะการสู้กับทีมหนีตายนั้นสร้างความลำบากให้กับแมนซิตี้เป็นอย่างมาก คิวพีอาร์ เล่นดีผิดคาด โดยเฉพาะกองหลังที่รับมือกับการบุกของแมนซิตี้ได้เป็นอย่างดี แมนซิตี้ลองอยู่หลายจังหวะแต่ก็ไม่ผ่านแนวรับของคิวพีอาร์ซักที จนกระทั่งนาทีที่ 39 Pablo Zabaleta จะหลุดขึ้นมายิงให้แมนซิตี้ขึ่นนำไปก่อน 1-0 เป็นประตูเดียวในครึ่งเวลาแรก

ครึ่งหลังเริ่มได้ไม่ถึง 5 นาที แฟนๆ เรือใบต้องเครียด เมื่อ Djibril Cissé เก็บตกลูกโหม่งสกัดพลาดของกองหลังเรือใบ ยิงตีเสมอเป็น 1-1 ตั้งแต่นาทีที่ 48

หลังจากนั้น เกมเริ่มเดือดขึ้นเรื่อยๆ จนในนาทีที่ 55 คิวพีอาร์ต้องเหลือ 10 คนเพราะ Joey Barton ไปเล่นนอกเกม ส่งผลให้โดนใบแดงไล่ออกจากสนาม แมนซิตี้ได้เปรียบเรื่องจำนวนตัวผู้เล่นแล้ว แต่ก็ผิดคาด เมื่อ 10 คนของคิวพีอาร์สามารถขึ้นนำได้จากลูกสวนกลับเร็ว และเป็น Jamie Mackie ที่โหม่งเข้าไปอย่างสวยงาม

แมนซิตี้ต้องยิง 2 ประตูในช่วงเวลา 35 นาทีที่เหลือ ฟังดูก็เป็นงานที่สามารถทำได้ แต่คิวพีอาร์ก็สามารถรับมือการบุกของแมนซิตี้ได้อย่างดี ด้วยการ “รับทั้งทีม” โดยใช้ผู้เล่น 8 คนมาตั้งรับในกรอบเขตโทษ จากนั้นค่อยใช้เกมสวนกลับเล่นงาน ด้วยแผนการมหาอุดเช่นนี้ แมนซิตี้เจาะยังไงก็ได้แค่เฉียด จนเวลาเริ่มน้อยลง ครบ 90 นาที และเข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ 5 นาที

ในนาทีที่ 90+1 แมนซิตี้ได้ลูกเตะมุม ก่อนที่จะเป็น Edin Džeko ที่กระโดดโหม่งเข้าไปอย่างสวยงาม แมนซิตี้ไล่ตาม เป็น 2-2 แต่นั่นก็ยังไม่พอ เพราะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถเอาชนะซันเดอร์แลนด์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แมนซิตี้ต้องชนะสถานเดียว พวกเขาโหมบุกอย่างบ้าคลั่ง จนในที่สุดMario Balotelli ได้ล้มตวัดบอลให้ Sergio Agüero หลุดไปยิงประตูชัยได้ในนาทีสุดท้ายของการทดเวลา ส่งให้แมนซิตี้คว้าแชมป์แรกในรอบ 44 ปีได้สำเร็จ

Text – Rinininn

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save