สำหรับในยุคนี้การออกกำลังกายที่เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น มีกระแสขึ้นมาคงไม่พ้นการวิ่ง โดยมีไอคอนการวิ่งอย่างพี่ตูน (บอดี้สแลม) จุดประกายให้คนมาสนใจวิ่งกันเพิ่มมาขึ้น จากที่วิ่งกันเยอะอยู่แล้ว ซึ่งผมก็เป็นคนนึงที่กลับมาวิ่งตามกระแสเช่นกัน เมื่อก่อนก็วิ่งแต่ไม่ได้จริงจังอะไรวิ่งแบบลูกทุ่งบ้านๆ วิ่งนับไปว่ากี่รอบๆ สนามบอลแล้วพอแล้ววันต่อไปก็จะพยายามลองวิ่งเพิ่มรอบให้มากขึ้น วิ่งเสร็จก็เหนื่อยเป็นหมาหอบแดกนั่งแฮ่กๆ ขาสั่นขาลอยตามสภาพเพราะวิ่งให้มันจบๆ ไป แล้วยิ่งสมัยก่อนไม่ได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เรียกว่า นาฬิกาวิ่งพวกนี้ด้วย ก็วิ่งไปสิ…
คำถาม? แล้วนักกีฬาหรือคนที่วิ่งๆกันในก่อนหน้านั้นที่ยังไม่รู้จักเกี่ยวกับพวกนาฬิกาวิ่งล่ะเขาทำไมวิ่งกันได้ ก็อาจจะเป็นได้ว่าได้รับการฝึกฝนหรือมีผู้เชี่ยวชาญที่คอยดูแลอยู่นั่นเอง แต่เมื่อมาสมัยนี้เราๆก็อยากจะวิ่งแบบพี่ตูนและมีสุขภาพที่ดีควบคู่ไปด้วย ดังนั้นผมจะมาแยกการวิ่งง่ายๆกันครับว่ามีอะไรบ้าง (ง่ายๆในความคิดของผู้เขียนเองนะครับ) แล้วเราจะวิ่งแบบไหนกันดี
- เดิน-วิ่งเพื่อสุขภาพ
การเดินวิ่งตามชื่อที่บอกเลยคือ แค่ขยับเท่ากับออกกำลังการนั่นเองเดินไปเรื่อยๆหรือวิ่งเบาๆจ๊อกกิ้งไปตามเวลาหรือระยะทางที่เห็นสมควรของแต่ละคน จะเดินช้าๆ ไป หรือสลับกับวิ่งเบาๆ พาน้องหมาน้องแมวมาวิ่งด้วยจูงกัน หรือเข็นลูกไปวิ่งไปก็ย่อมได้
2.วิ่งเพื่อสุขภาพ
เริ่มขยับความขั้นกว่ามาอีกนิดคือใช้พลังของขามาขึ้นมีการวิ่งเพิ่มความเร็วมากขึ้นสำหรับผู้เริ่มต้นวิ่ง อาจจะจัดระดับระยะ 3-5 โลเป็นขั้นต่ำวิ่งสนุกๆ ไปกับเพื่อนๆ เพื่อลงรายการวิ่งต่างๆ หรือฝึกซ้อมจนพัฒนาไปเรื่อยๆเป็นระยะ 10, 21และ 40 กิโลเมตรได้แล้วแต่ความขยันฝึกซ้อม และสมรรถนะร่างกาย
3.วิ่งเพื่อลดน้ำหนัก
การวิ่งแบบนี้จะใช้การวิ่งแบบเร็วในระยะทางที่กำหนด (วิ่ง sprint) แล้วหยุดเดินสลับกันไปเพื่อเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจหรือเพื่อลดน้ำหนัก ไม่ได้วิ่งแบบเน้นนานหลาย กม. แต่เน้นเพียงระยะทางสั้นๆ ต่อการฝึกซ้อมของแต่ละคน เช่น วิ่งแบบรวดเร็วระยะ 100 ม. แล้วเดินพักจนหลายเหนื่อยแล้วอัดต่ออีก 100 ม. เป็นต้น
ซึ่งใน 3 หัวข้อนี้ที่กล่าวมาจากความรู้สึกว่าเจ้านาฬิกาวิ่งนี่โดยส่วนตัวแล้วถ้ามีติดตัวไว้มันก็ดี สำหรับมือใหม่อย่างผมเองก็รู้สึกดีกว่าตอนที่ผมวิ่งแบบลูกทุ่งๆ อย่างที่กล่าวมาตอนแรก เพราะอะไรน่ะหรือครับ คำตอบคือ เราจะสามารถรู้ว่าเราวิ่งไปแล้วกี่ กม. แล้วจะหยุดพักหรือเดินกี่เมตรดีแล้วทำการวิ่งต่อไป แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือสามารถรู้อัตราการเต้นของหัวใจว่ามันเหนื่อยเกินไปหรือเปล่า จะได้ไม่ต้องหอบแฮ่กๆ เราสามารถควบคุมการวิ่งหรือเดินได้ดียิ่งขึ้นพออัตราการเต้นหัวใจลดลงแล้วค่อยเริ่มวิ่งต่อ อีกประการคือไม่ต้องถือมือถือติดตัวไปให้หนักมือหรือกระเป๋าอีกด้วย
คำนวนอัตราการวิ่งของหัวใจ
อัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด = 220 – อายุ
เป็นสูตรคำนวนที่ใช้กันทั่วไปครับ หรือจะลองใช้เวปคำนวนก็ได้ เพียงใส่อายุลงไปแล้วกดคำนวนก็จะได้อัตราการเต้นของหัวใจแล้วครับ
https://www.brianmac.co.uk/maxhr.htm
ตารางอัตราการเต้นของหัวใจ
เมื่อเราได้อัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดมาแล้ว หรือเรียกง่ายๆ คืออัตราการเต้นหัวใจที่เราเหนื่อยสุดๆ นั่นเองเราก็จะสามารถลองเทียบอัตราการเต้นได้ตอนเราวิ่งหรือเดินให้อยู่ในเขตที่พอดีไม่เหนื่อยจนเกินไป ถ้าหากเหนื่อยเกินไปหัวใจเต้นเร็วเกินไปอาจมีสิทธิ์เสียชีวิตได้นะ
จากข้อมูลเล็กๆน้อยๆฉบับมือใหม่เข้าใจง่ายๆ สำหรับการวิ่งผู้เริ่มต้นพยายามอย่าให้อัตราการเต้นของหัวใจสูงเกินไป พยายามให้อยู่ระดับ โซน 3-4 ก็เพียงพอครับ และผู้อ่านก็คงต้องตัดสินเอาเองครับว่าเจ้านาฬิกานี้จำเป็นหรือไม่ ทั้งนี้สำหรับตัวผู้เขียนเองก็ไม่ได้เชียร์ว่าต้องมี อาจจะใช้ App จับระยะการวิ่งแทนได้ ความจำเป็นแต่ละท่านนั้นก็ต่างกันออกไป เช่นบางท่านวิ่งไม่ได้บ่อยมากนานๆ ครั้งก็อาจจะไม่จำเป็น หรือบางท่านอยากจะออกกำลังกายแบบสม่ำเสมอก็อาจจะต้องใช้ก็เป็นได้ เพราะเจ้านาฬิกานี้ก็ถือว่าเป็นอุปกรณ์ค่อนข้างที่มีราคาเช่นกัน จะมีตั้งแต่ราคาไม่แพงมากจนถึงระดับแพงๆ ยอดฮิต บางรุ่นการใช้งานก็มีการวัดค่าหัวใจอย่างเดียวก็เพียงพอ หรือบางรุ่นสามารถจับระยะทางได้เป็นต้นครับ
Text – Saturn
