Review | Overwatch: Legendary Edition เวอร์ชั่น Nintendo Switch - The Macho
 
Roral Enfield - Hunter 350
728x150 - Nissan Almera
728x150 - Hunter4
Review | Overwatch: Legendary Edition เวอร์ชั่น Nintendo Switch

หากจะพูดถึงเกมออนไลน์ที่มียอดผู้เล่นสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกนอกจากแนว MOBA หรือ MMORPG ทั่วไปแล้ว ก็คงหนีไม่พ้น Overwatch หนึ่งในเกม FPS สีสันสดใสจากค่าย Blizzard ที่วางจำหน่ายกันไปตั้งแต่ปี 2016 ซึ่งตัวเกมมีจุดชูโรงเป็นเหล่าตัวละครฮีโร่หลากไตล์หลายสัญชาติให้เลือกใช้ แถมไม่มีการเก็บเลเวลเพื่ออัปเกรดทักษะ (แต่จะปลดล็อคกล่องเครื่องประดับแทน) ทำให้ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับฝีมือและทีมเวิร์คเท่านั้น ฟังแล้วก็ช่างเป็นคอนเซปต์ที่เชิญชวนทุกคนเข้ามาเล่นกันอย่างสนุกสนานอะไรเยี่ยงนี้

เพื่อเป็นการสานต่อความสำเร็จของเกมหลังจากเปิดให้บริการมาหลายปีดีดัก Blizzard ก็ไม่พลาดที่จะนำประสบการณ์ความสนุกปนหัวร้อนมาส่งมอบให้กับฝั่ง Nintendo ท่ามกลางเสียงที่แตกกันไปมา ซึ่งในวันนี้พวกเรา ThisIsGame Thailand ก็จะมาพิสูจน์กันว่าการวางจำหน่าย Overwatch: Legendary Edition บนเครื่องเล่นเลือด Hybrid ครั้งนี้จะสอบผ่านหรือเปล่า ดังนั้นอย่ารอช้ามาเริ่มกันเลยครับ

【เกมที่ใครๆ ก็สามารถเป็นฮีโร่ได้ แถมยังเล่นที่ไหนก็ได้】

นี่เป็นครั้งแรกที่ Overwatch จะได้มาโลดแล่นในฐานะเกมพกพา (แม้ว่า Nintendo Switch จะนับเป็นเครื่องเล่นคอนโซลแต่มันก็พกพาได้นี่เนอะ) ดังนั้นเกมในเวอร์ชั่น Nintendo Switch จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยเปิดประสบการณ์การเล่นที่แตกต่างจากเดิมไม่ว่าจนบนคอมพิวเตอร์หรือสายคอนโซล และต้องขอยืนยันว่าการเล่น Overwatch บนรถบัสระหว่างเดินทางไกลมันเป็นประสบการณ์ค่อนข้างโอเคเลยทีเดียวครับ

ตัวเกมเป็นแนว Team-based FPS ซึ่งจะให้เราเลือกรับบทเป็นฮีโร่กว่า 30 ชีวิต แบ่งออกเป็นสามหมวดคือ Tank, Damage และ Support ที่มีหน้าที่ตามกลุ่ม พร้อมลุยไปในฉากที่จะมีกติกาไม่เหมือนกันเช่นดันรถให้ถึงจุดเส้นชัยในโหมด Payload หรือจะเป็นโหมดยึดจุดภายในเวลาที่กำหนด รวมไปถึงการเล่นในรูปแบบ Arcade ที่มีกติกาใหม่ๆ เช่น Capture the Flag คล้ายๆ กับเกมลิงชิงธง กับ Deathmatch สำหรับสายบู๊เป็นต้น

【กราฟิก】

ในส่วนของพลังกราฟิกในเกมก็ไม่อยู่ในขั้นที่โดดเด่นด้วยความละเอียดในการต่อจอโทรทัศน์ที่ 900p และ 720p สำหรับการเล่นแบบโหมดพกพา ซึ่งคุณภาพของโมเดลจะเท่ากันกับเครื่องเล่นอื่น แต่จะลดทอนความคมชัดของ Texture, แสง-เงา, คุณภาพวัตถุประกอบฉาก และการสะท้อนเทียบเท่ากับระดับ Low โดยตอนเล่นจริงจะไม่ค่อยสังเกตอะไรได้มากนักเนื่องจากความเร็วของเกมเพลย์ที่จะให้เราโฟกัสไปกับการต่อสู้มากกว่า

【ลดสเปคไปบ้างแต่ยังคงความสนุกเหมือนเดิม】

แน่นอนว่าการรันเกมบน Nintendo Switch ก็ต้องมีการแลกเปลี่ยนในแง่ความสมรรถนะบ้างเพราะว่าตัวเครื่องมาพร้อมกับ CPU Tegra X1 ที่แรงเหนือกว่าเครื่องเล่นรุ่นที่แล้วอย่าง PlayStation 3 ประมาณหนึ่งและแรมขนาด 4GB เท่านั้น ถึงอย่างนั้นความสนุกก็ยังครบถ้วน ไม่มีเนื้อหาไหนโดนตัดให้เสียความรู้สึก อีกทั้งยังได้รับการอัปเดตพร้อมกับทุกแพลตฟอร์มเลยครับ ซึ่ง ณ เวลาที่เขียนในปัจจุบันมีการเปิดให้เล่นอีเวนต์เทศกาลฮัลโลวีนเช่นเดียวกับเวอร์ชั่นอื่นด้วย อ้อแล้วเกือบลืมไป ตัวเกมมีขนาดเพียงแค่ราวๆ 10GB เท่านั้น แต่จะไม่มีตลับขายนะครับ เป็นการดาวน์โหลดล้วนๆ ต่อให้ซื้อแบบกล่องมาก็ต้องนำโค้ดมาดาวน์โหลดอยู่ดี

สังเกตได้ว่ารายละเอียดในส่วนของแสงและเงาจะหายไป (โดยเฉพาะฉาก Hanamura)

【เฟรมเรต และการปรับแต่งเกม】

หากจะบอกว่า Overwatch: Legendary Edition ที่มาพร้อมเนื้อหาจัดเต็มและฟังก์ชั่นพกพาเป็นเกมเวอร์ชั่นสมบูรณ์แบบที่สุดก็คงจะไม่ถูกเพราะว่าจุดติขนาดใหญ่ก็คือเฟรมเรตที่วิ่งอยู่ 30fps เท่านั้น แตกต่างจากเกมแนว First-person Shooter ยุคปัจจุบันรวมไปถึง Overwatch บนแพลตฟอร์มอื่นที่จะวิ่งอยู่ 60fps ลื่นๆ (อาจมีตกมาหลัก 40-50) ทำให้ความรู้สึกเวลาควบคุมอาจจะไม่ได้ดั่งใจนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนคุ้นชินความเร็วแบบเดิมน่าจะมีหงุดหงิดพอสมควรเพราะช่วงชุลมุนกันอาจทำให้เฟรมเรตตกมา 20 

ทว่าการเล่นในโหมดพกพากลับแทบไม่มีปัญหาแลคใดๆ และกลายเป็นว่าเฟรมเรตระดับ 30fps มันเวิร์คบนหน้าจอเล็กๆ เสียอย่างนั้น เหตุผลก็เป็นเพราะการรันเกมในรูปแบบพกพาจะไม่ทำให้เครื่องใช้ทรัพยากรมากเท่ากับการต่อจอทีวีซึ่งจะเพิ่มคุณภาพกราฟิกไปที่ 900p ในส่วนนี้ก็อาจจะต้องรอทาง Blizzard ว่าจะมีการแก้ไขเพื่อประสบการณ์การเล่นที่ราบรื่นขึ้นหรือเปล่าครับ

เพิ่มติดอีกนิดในส่วนเกมเพลย์จะมีหนึ่งลูกเล่นที่จะไม่พูดไม่ถึงไม่ได้นั่นก็คือการควบคุมแบบ Gyro ที่จะให้เราเล็งกันด้วยมือตัวเอง แต่ทว่าถึงจะน่าสนใจแต่เวลาใช้จริงก็แอบทำให้รำคาญเหมือนกัน (เพราะเฟรมเรตไม่เอื้อ) ในจุดนี้ก็แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคนไปนะครับ ว่ากันว่าถ้าหากเชี่ยวชาญแล้วจะทำให้เราควบคุมได้ฉับไวไม่ต่างกับเมาส์ 

【แล้วจำนวนผู้เล่นล่ะ?】

อีกหนึ่งปัญหาใหญ่สำหรับเกมพอร์ตอย่าง Overwatch คือปริมาณของผู้เล่น ซึ่งก็มีอายุมากว่า 3 ปีเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้จะยังคงมีการอัปเดตบ้าง แต่ก็ไม่บูมเหมือนสมัยเริ่มวางจำหน่ายในปี 2016 ดังนั้นการหาห้องก็อาจจะนานสักนิดตั้งแต่ 2-3 นาทีไปจนถึง 10 กว่านาทีในโหมด Quick Play ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของคิวตำแหน่ง (และแน่นอนว่า Damage มีคิวแน่นที่สุดตามสูตร) ส่วนโหมด Arcade จะใช้เวลานานกว่าอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ

【บทสรุปของ Overwatch ในฐานะเกมบน Nintendo Switch】

ถ้าเกิดเป็นผู้เล่นใหม่ที่กำลังมองหาเกม Team-based FPS หรือตั้งใจจะซื้อ Overwatch มาเล่นอย่างจริงจังอาจจะไม่สามารถแนะนำเวอร์ชั่น Nintendo Switch ได้อย่างเต็มปาก ยกเว้นเสียแต่ว่าเป็นผู้เล่นเก่าที่ต้องการเล่นแบบชิลๆ ทดแทนเวลาไม่สามารถเล่นบนแพลตฟอร์มอื่น หรือว่าไม่ค่อยต่อภาพออกจอเท่าไหร่น่าจะรับได้อยู่ระดับหนึ่ง เพราะว่าราคา 39.99$ พร้อมกับสกินใหม่ๆ และยังได้รับกล่อง Legendary Loot Box เครื่องประดับฟรีก็ถือว่าคุ้ม

อีเวนต์ใดๆ ก็ไม่มีพลาด เริ่มเล่นตอนนี้เก็บกล่องฮัลโลวีนเร็วกว่านะ

ซื้อเกมภายในวันที่ 31 ธันวาคมนี้เพื่อรับกล่องเครื่องประดับการันตีไอเทม Legendary

สุดท้ายนี้ เกมอาจจะมีการเริ่มต้นที่ติดขัดไปบ้าง แต่ Overwatch: Legendary Edition บน Nintendo Switch ไม่ใช่เกมที่แย่และยังทำมาตรฐานความสนุกเทียบเท่ากับแพลตฟอร์มอื่นๆ เพียงแค่เรามองข้ามจุดเล็กๆ อย่างกราฟิกไปก็น่าจะพอให้อภัยกันได้อยู่ แต่ขอย้ำอีกครั้งว่าถ้าหากเพื่อนๆ เป็นสาย Competitive จริงจังแล้ว อยากให้ลองชั่งน้ำหนักดูก่อนตัดสินใจ ว่าแล้วก็ขอตัวไปเล่นต่อดีกว่า แล้วเจอกันใน Overwatch ครับ

ที่มา – ThisIsGame

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save