Movie Review|“Roma” ชีวิตต้องก้าวต่อ ไม่ว่าคุณจะพร้อมหรือไม่ก็ตาม (ไม่สปอยล์!) - The Macho
 
Roral Enfield - Hunter 350
728x150 - Nissan Almera
728x150 - Hunter4
Movie Review|“Roma” ชีวิตต้องก้าวต่อ ไม่ว่าคุณจะพร้อมหรือไม่ก็ตาม (ไม่สปอยล์!)

Roma ผลงานล่าสุดของผู้กำกับ “อัลฟอนโซ่ กัวร็อง” ชาวเม็กซิกันคนแรกที่ชนะผู้กำกับยอดเยี่ยมของออสการ์จาก Gravity เมื่อ 5 ปีก่อน มารอบนี้นอกจากความฮือฮาจะอยู่ที่การร่วมงานผลิตหนังให้ Netflix โดยตรงแล้ว หนังยังเป็นภาพขาว-ดำทั้งเรื่อง ภาษาก็กลับไปใช้ภาษาสแปนิช และภาษาท้องถิ่นของเม็กซิกัน พร้อมด้วยนักแสดงชาวเม็กซิกันยกชุด โดยหนังน่าจะนอนมาในรางวัลหนังภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม นอกจากนั้นยังชิงรางวัลอื่นอีกมากมายรวม 10 รางวัล ไม่ว่าจะเป็นหนังยอดเยี่ยมแห่งปี, ดารานำหญิง, สมทบหญิง, ผู้กำกับยอดเยี่ยม และบทดั้งเดิมยอดเยี่ยม

Roma บอกเล่าเรื่องราวโฟกัสไปยังครอบครัวชนชั้นกลาง โดยมีตัวนำเรื่องคือ “Cleo” หญิงรับใช้ ซึ่งคอยดูแลครอบครัวใหญ่นี้ ที่มีทั้งพ่อ, แม่, ยาย และลูกๆ อีกถึง 4 คน โดยหนังจะค่อยๆ เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นแวดล้อมตัวเธอ และครอบครัวนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะได้เห็นพัฒนาการการรับมือกับสิ่งต่างๆ ของตัวละคร โดยมีแบ็คกราวน์เป็นเม็กซิโกในปี 1970 ซึ่งมีการลุกฮือประท้วงเรียกร้องของนักศึกษาในยุคนั้นด้วย

ว่ากันตามตรง Roma นั้นเริ่มต้นได้เอื่อยอยู่เหมือนกัน ในฐานะที่หนังอยากให้เราค่อยๆ เรียนรู้บุคลิกของตัวละครแต่ละตัว โดยไม่ได้มีบทสนทนา หรือสิ่งที่บอกเล่าให้เข้าถึงไลน์เนื้อหาอย่างโจ่งแจ้ง ตัวละครแต่ละตัวมีความเป็นปุถุชนที่เราสัมผัสได้ แถมหนังยังถ่ายทอดมุมมองคล้ายแบบบุคคลที่สามที่สอดส่องเรื่องราวอยู่อย่างตรงไปตรงมา แม้จะเต็มไปด้วยองค์ประกอบภาพที่มีชั้นเชิง และการสื่อความหมายเล็กๆ น้อยๆ ผ่านรายละเอียดในฉาก แต่ก็ยังคงเป็นมุมกล้องแพนยาวๆ หรือมีความเป็น long take กรายๆ ที่บ่งบอกให้เราเข้าใจว่าอะไรเกิดขึ้นเฉพาะตรงหน้า และมันเซอร์ไพรส์มากๆ ที่ทำให้เราซึมซับมันทีละนิดทีละนิดจนเราอินกับชีวิตที่ดูไม่หวือหวานี้ได้

แม้หนังจะถ่ายทอดออกมาเป็นภาพขาว-ดำ แต่ด้วยความเนี้ยบของบท และงานโปรดักชั่นระดับเทพ ทำให้เราสามารถจินตนาการสีสันในความรู้สึกของตัวละครออกมาได้โดยอัตโนมัติ กลายเป็นว่าการตัดสีสันที่รบกวนโดยองค์ประกอบอื่น ยิ่งทำให้เราโฟกัสไปที่ตัวละคร และสิ่งที่หนังอยากจะสื่อในแต่ละซีน ซึ่งแค่เพียงเทคนิคนี้ที่กัวร็องใช้ มันก็คุ้มค่าเวลา (จะบอกว่าคุ้มค่าตั๋วก็ไม่ได้) ที่เสียไป เพราะมันตอบแทนด้วยคุณค่าที่คุณไม่อาจพลาดสายตาได้

นอกเหนือจากการไล่ระดับของเนื้อหา และความพิถีพิถันของโปรดักชั่นแล้ว หนังยังสื่อสารความจริงของชีวิต และสื่อสารสิ่งที่ตัวละครแต่ละตัวรับมือออกมาได้อย่างดี หนังเองไม่ได้ตัดไปโฟกัสแต่ละตัวละครในมุมมองของตน แต่เลือกที่จะมองภาพรวมกว้างๆ ซึ่งแต่ละตัวละครแสดงความเป็นตัวตนออกมาเมื่ออยู่ร่วมกัน ซึ่งความเฉียบคมนี้ ทำให้เราเข้าใจแก่นของหนังที่สื่อถึงการให้กำลังใจทั้งจากตัวเรา และคนรอบข้าง รวมถึงสอนให้เข้าใจสิ่งที่เกิดในชีวิตมากขึ้น เพราะเวลามันไม่หยุดเดินรอเราเมื่อเกิดความท้อแท้ ผิดหวัง โดยไม่ว่าเราจะพร้อมหรือไม่ เราต้องก้าวเดินต่อไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

จากรีวิวที่ร่ายมา คงไม่อยากจะลงลึกในรายละเอียดมากไปกว่านี้ เพราะหนังเองเน้นกับการค่อยๆ เร่งจังหวะให้เราสัมผัสถึงตัวละครได้มากขึ้นเรื่อยๆ การไปบ่งบอกถึงฉากใด หรือท่าทีใดที่ชื่นชอบของตัวละคร อาจจะกลายเป็นการสปอยล์หนังทางอารมณ์ ที่คนที่ยังไม่ได้ดูควรจะได้รับจากการดูด้วยตาตัวเองมากกว่า

สรุปอย่างไม่ลังเลเลยว่า “Roma” เป็นหนังยาวที่ดีที่สุดของ Netflix ที่เคยดูมา (ก่อนนี้ยังไม่เคยมีเรื่องไหนที่ปลื้มเลย ฮ่า) มันให้คุณค่ากับการชมมากจริงๆ ไม่ว่าคุณจะมาเอาคุณค่าของเนื้อหา, การสื่อสารของบทหนัง หรืองานโปรดักชั่นที่เป็นระดับเทพ ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าออสการ์จะให้เรื่องนี้เป็นตัวเต็ง Best Picture มากแค่ไหน แต่หาก Roma ชนะขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่มีอะไรค้านสายตาแต่อย่างใด

ระดับความน่าดู : 9/10 (ดูเถอะ! ไม่ควรพลาด)

Text – Rocketseer

Picture – Forbes México, Cnet, Vox, Vague Visages

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save