ช่วงต้นปีที่ผ่านมาในงานประกาศผลรางวัลลูกโลกทองคำ หรือ Golden Globe Awards ครั้งที่ 76 ซึ่งเป็นการนับคะแนนจากการโหวตของสื่อมวลชนในสหรัฐ ฯ และเป็นงานที่คนสายบันเทิงทั่วโลกตั้งหน้าตั้งตารอไม่แพ้รางวัลออสก้าร์ (oscar)
ภาพยนตร์เรื่อง “Bohemian Rhapsody” ที่เข้าชิงเพียงแค่ 2 รางวัลใหญ่ กลับสามารถคว้าชัยชนะทั้งสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ดราม่า) และนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (ดราม่า) ไปครองได้สำเร็จ
และหลังจากกวาดรางวัลมาเกือบทุกสถาบันในที่สุดนักแสดงหนุ่ม รามี มาเลค (Rami Malek) ก็ชนะรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากบทบาท เฟร็ดดี้ เมอร์คูรี่ (Freddie Mercury) จากภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยเป็นครั้งแรกที่เขาได้มีชื่อเข้าชิงออสการ์อีกด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น Bohemian Rhapsody ยังคว้ารางวัลตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม,รางวัลผสมเสียงยอดเยี่ยม และรางวัลตัดต่อภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปครองด้วย ซึ่งถือว่าคว้าไปมากที่สุดในงานประกาศรางวัลครั้งนี้
รามี กล่าวขณะขึ้นไปรับรางวัลว่า “เด็กคนนั้นเคยสับสนและพยายามหาตัวตนของตัวเองเราทำหนังที่เป็นกระบอกเสียงให้กับเกย์ ผู้อพยพที่กล้าเป็นตัวเองอย่างเต็มที่ และคืนนี้เป็นการยืนยันว่าเราต้องการเรื่องแบบนี้อีก”
Bohemian Rhapsody คือภาพยนตร์ชีวประวัติของวงร็อคยิ่งใหญ่ระดับตำนานอย่าง “ควีน (Queen)” โดยเล่าเรื่องผ่านมุมมองของ เฟร็ดดี้ เมอร์คูรี่ นักร้องนำชาวเปอร์เซียผู้เกิดมามีฟันหน้ามากกว่าคนอื่น 4 ซี่ แต่เสียงร้องอันทรงพลัง ลีลาการแสดงแบบถึงพริกถึงขิง ความสามารถด้านดนตรี และการแต่งกายสีสันบาดตาส่งผลให้เฟร็ดดี้กลายเป็นศิลปินที่แฟนเพลงรักมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ดนตรี
นอกจากภาพยนตร์จะเล่าเรื่องเส้นทางดนตรีของวงควีนตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว คนดูจะได้เห็นความสำคัญของมิตรภาพ ครอบครัว และความรักที่มีความหมายต่อความสำเร็จของเฟร็ดดี้ซึ่งไม่ได้พูดถึงในชีวิตจริงด้วย
แม้ช่วงถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้จะขุรขระไปบ้างเพราะพฤติกรรมไม่เหมาะสมของผู้กำกับ ไบรอัน ซิงเกอร์ (Bryan Singer) ที่มักหายหน้าไปจากกองถ่ายหลายต่อหลายครั้งโดยไม่แจ้งเหตุผลและเจอข้อกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศ แต่สุดท้ายทีมงานก็ตัดสินใจปลด ไบรอัน ซิงเกอร์ ออกแล้วให้ เด็กซ์เตอร์ เฟลทเชอร์ (Dexter Fletcher) ผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์เรื่อง Eddie the Eagle (2016) เข้ามารับไม้ต่อแทน
เมื่อหนังถูกปล่อยออกมาก็ได้รับคะแนนวิจารณ์ว่าสามารถเก็บรายละเอียดได้อย่างลุ่มลึกทั้งฉาก แสง สี เสียง รวมถึงเสื้อผ้าที่ราวกับพาคนดูเข้าไปยุค 80s จริงๆ พร้อมยังสอดแทรกช่วงสร้างสรรค์งานเพลงและการแสดงคอนเสิร์ตออกมาให้ชมด้วย โดยเฉพาะฉากจำลองการแสดงสดในงาน Live Aid เมื่อปี 1985 ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่พาเฟร็ดดี้และวงขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของความสำเร็จในเส้นทางดนตรีได้เพียงชั่วข้ามคืน
หากใครเคยดูการแสดงจริงใน Youtube แล้วลองเปรียบเทียบกับฉากในภาพยนตร์อาจจะขนลุกซู่ไปตามๆ กัน เพราะหนังสามารถทำออกมาได้ยอดเยี่ยมสมจริงจนทำให้คนที่แม้จะไม่ใช่แฟนเพลงวงควีนเองต่างก็ต้องยกนิ้วให้ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าฝีมือการแสดงของ รามี มาเลค (Rami Malek) นั้นเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้ Bohemian Rhapsody สามารถเอาชนะใจคนดูและคู่แข่งจากภาพยนตร์เรื่องอื่นแล้วคว้ารางวัลออสก้าร์มาอยู่ในมือได้อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
รามี มาเลค ทุ่มเทอย่างหนักเพื่อสวมบทบาท เฟร็ดดี เมอร์คูรี่ ฟรอนต์แมนของวงควีนโดยเฉพาะฉากคอนเสิร์ต Live Aid ในตำนานที่ถ่ายทำตั้งแต่ต้นจนจบตลอด 24 นาทีตามเวลาโชว์จริง เขาเผยว่า
“ผมนั่งดูต้นฉบับประมาณ 1,500 รอบได้ จากนั้นก็ฝึก ฝึกแล้วก็ฝึก เพื่อให้การแสดงท่าทางมันออกมาอย่างเป็นธรรมชาติและสมบูรณ์แบบที่สุด ผมฝึกจนเหมือนกับว่าท่วงท่าทุกอย่างมันถูกฝังเข้าไปในกระดูกของผม พวกเราถ่ายทำการแสดงทั้งคอนเสิร์ตด้วยกัน… เราต้องร้องตามเพลงต่อเพลงเพื่อให้ได้ความรู้สึกและอะดรีนาลีนแบบที่พวกเขาเคยได้จริงๆ ตอนถ่ายทำ เรายังมีแฟนเพลงวง Queen ที่มาดูสดๆ เพื่อจำลองซีนคอนเสิร์ตในวันนั้นด้วย มันเป็นความรู้สึกที่เหนือความคาดหมายจริงๆ”
มาเลคก้าวมาอยู่ในวงการฮอลลิวู้ดได้พักใหญ่ แต่ก็ยังไม่ได้โดดเด่นเท่าที่ควร จุดเปลี่ยนสำคัญของเขาคือการรับบทเป็น อิลเลียต อัลเดอร์สัน (Elliot Alderson) แฮ็คเกอร์หนุ่มฉลาดเป็นกรดแต่มีปมล้นใจจากซี่รีย์เรื่อง Mr.Robot ซึ่งผลงานนั้นทำให้หลายคนได้ประจักษ์ถึงพลังการแสดงของเขา ส่งให้มาเลคสามารถคว้ารางวัลเอ็มมี่ อวอร์ดส์(Emmy Award) สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมประเภทซีรี่ส์ดราม่ามาครอบครองได้เป็นครั้งแรก
นักวิจารณ์และสื่อบันเทิงต่างเห็นพ้องกันว่ามาเลคเกิดมาเพื่อบทบาทนี้จริงๆ ทั้งบุคลิก ท่าทาง และดวงตาอันลึกลับซับซ้อน ตัวเขาเองก็จริงจังกับการสวมวิญญาณอิลเลียตอยู่ไม่น้อย เขาเตรียมพร้อมตัวเองเป็นฟองน้ำนุ่มๆ แล้วแช่ลงไปในบทนี้จนกระทั่งซึมซับเอาความเป็น อิลเลียตมาครบทุกมิติ ถึงขนาดที่เจ้าตัวเอ่ยปากว่าแม้ความเจ็บปวดของอิลเลียตเองก็กลายเป็นความเจ็บปวดของเขาด้วยเช่นกัน
นับตั้งแต่ได้รับรางวัลเอ็มมี่ชื่อของเขาก็เจิดจรัสกลายเป็นดาวประดับวงการฮอลลีวู้ดอีกหนึ่งดวงทันที แต่ก่อนหน้าจะดังเปรี้ยงปร้างกับบทดังกล่าว หลายคนอาจคุ้นหน้าคุ้นตาเขามาบ้างจากบทบาทฟาโรห์อัคเมนราห์ (Pharoah Ahkmenrah) ในภาพยนตร์ไตรภาคเรื่อง Night at the Museum หรือ บท เบนจามิน (Benjamin) แวมไพร์หนุ่มชาวอียิปต์ผู้สามารถควบคุม ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งเป็นพันธมิตรของครอบครัวคัลเลนในภาพยนตร์ Twilight Saga: Breaking Dawn Part 2
เหตุผลส่วนใหญ่ที่เขาได้รับบทเป็นคนอียิปต์ก็เพราะเขาเป็นชาวอเมริกันที่มีเชื้อชาติอียิปต์-กรีก แรกเริ่มครอบครัวของเขาไม่เห็นด้วยกับการเดินเส้นทางบันเทิง เขาถูกผลักดันให้เป็นนักกฎหมายหรือไม่ก็นายแพทย์ แต่เมื่อเขารู้ตัวว่าอยากเป็นนักแสดงเขาก็ไม่มีอาชีพอื่นเป็นตัวเลือกอีกเลย มาเลคพร้อมจะพยายามต่อสู้เพื่อปกป้องความฝันของตัวเองอย่างแข็งแกร่ง จนในที่สุดเขาก็ได้เข้าเรียนด้าน Fine Arts ในมหาวิทยาลัย Evansville และได้ประเดิมบทบาทแรกในซีรีส์เรื่อง Gilmore Girls หลังจากนั้นเขาก็มุ่งหน้าใส่เกียร์ทำตามความฝัน พัฒนาศักยภาพด้านการแสดงของตัวเองเรื่อยๆ จนกลายเป็นนักแสดงนำยอดเยี่ยมเจ้าของรางวัลออสก้าร์ที่นาทีนี้ใครๆ ก็พูดถึง