พึ่งลงฉายในสตรีมมิ่ง Netflix ไปเมื่อวันที่ 27 พ.ย. (ตามเวลาอเมริกา) ที่ผ่านมา สำหรับ “The Irishman” หนังที่หลายคนเฝ้ารอคอย ซึ่งไม่เพียงเป็นผลงานกำกับของ “มาร์ติน สกอร์เซซี่” แต่ยังมี 3 นักแสดงระดับมาสเตอร์พีซอย่าง “โรเบิร์ต เดอ นีโร”, “อัล ปาชิโน่” และ “โจ เปสซี่” แสดงนำอีกด้วย
สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับเหล่ารายชื่อที่กล่าวมา ขอสรุปสั้นๆ ให้นิดนึง ว่าสกอร์เซซี่ เป็นผู้กำกับที่คร่ำหวอดในวงการมาอย่างยาวนาน ผลงานเด่นที่น่าจะคุ้นในยุคหลังมี The Wolf of Wall Street, Shutter Island หรือ The Departed (สองคนสองคม เวอร์ชั่นฮอลลีวู้ดรีเมค)
แต่ถ้าจะนับงานระดับขึ้นหิ้งแล้ว หนังเก่าในโทนแก๊งสเตอร์ หรือโทนดิบๆ ยังมี Gangs of New York, Casino, Goodfellas, Taxi Driver ที่สุดยอด และต่างได้รับการยกย่อง ให้อยู่ในหลายลิสต์ที่คุณควรชมก่อนตาย
ส่วน 3 นักแสดงมือเก๋า (เก๋าจริงๆ เพราะเดอ นีโรกับเปสชี่ อายุ 76 ส่วนป๋าอัลอายุ 79) ล้วนแล้วแต่เคยร่วมงานกับสกอร์เซซี่มาแล้วทั้งสิ้น โดยเฉพาะในหนังโทนเข้ม หรือฟีลแก๊งสเตอร์-มาเฟีย
เดอ นีโร เคยมีหนังสร้างชื่อกับสกอร์เซซี่ทั้ง Raging Bull, Taxi Driver, Casino และ Goodfellas ส่วนเปสซี่ โด่งดังมาจาก Raging Bull, Goodfellas และ Casino เช่นกัน ด้านอัล ปาชิโน่ อันนี้ทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่าแกคือเครื่องหมายการค้าของ The Godfather และคือสุดยอดแก๊งสเตอร์จาก Scarface ดังนั้นการรวมตัวกันของทั้ง 3 จึงทำให้แฟนหนังดีใจจนเนื้อเต้น
“The Irishman” เป็นโปรเจ็คต์ใหญ่ของสกอร์เซซี่มานานหลายปี โดยเขาหยิบเอาเนื้อหาในหนังสือ “I Heard You Paint Houses” ของ ชาร์ลส์ แบรนท์ มาแปรเปลี่ยนเป็นหนัง โดยมีมือเขียนบทระดับตำนาน “สตีเว่น เซลเลี่ยน” ที่เคยชนะออสการ์จาก Schindler’s List มาร่วมปั้นบทหนังให้เป็นรูปเป็นร่าง
หนังสร้างจากเค้าโครงเรื่องจริงของสังคมอเมริกาในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่กลุ่มมาเฟีย และสหภาพแรงงาน มีบทบาทสำคัญในการดำเนินธุรกิจต่างๆ โดยหนังใช้ตัวละครที่มีชีวิตจริงดำเนินเรื่องราวสำคัญ มีตัวเล่าเรื่องหลักคือ “แฟรงค์ ชีรัน” (โรเบิร์ต เดอ นีโร) หนุ่มใหญ่ไอริช
แฟรงค์ เริ่มต้นเข้าสู่วงการแก๊งสเตอร์ ด้วยการก้าวขึ้นมาเป็นคนสนิทของ “รัสเซลล์ บัฟฟาลิโน่” (โจ เปสซี่) มาเฟียคนใหญ่คนโตเชื้อสายอิตาเลี่ยน ที่เป็นที่นับหน้าถือตาของทุกคน ก่อนที่แฟรงค์ จะมีโอกาสผันตัวเองไปช่วยงานคอยดูแลความเรียบร้อยให้ “จิมมี่ ฮอฟฟ่า” (อัล ปาชิโน่) หัวหน้าสหภาพแรงงานคนสำคัญ ที่เริ่มมีปัญหากับรัฐบาล เรื่องการเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจของเหล่ามาเฟีย
หากเป็นแฟนหนังมาเฟีย หรือเคยชมมาบ้าง คือหนังแนวนี้ที่สะดุดตาให้เราจดจำต้องมี “ลายเซ็น” ของตัวเอง บางเรื่องก็ดิบ โผงผาง บางเรื่องก็สขุมนุ่มลึก เน้นความชัดเจนของคาแรกเตอร์ ซึ่งจะหาได้ยากในหนังสมัยใหม่
ที่พูดถึงข้างบน ไม่ได้จะบอกว่าหนังสมัยใหม่ไม่มีลายเซ็นดีๆ หรอก แต่มันบาลานซ์ยาก ที่จะทำหนังมาเฟียดีๆ ออกมา โดยคงเอกลักษณ์แบบยุคก่อนไว้ แต่ไม่ให้ออกมาเชย ซึ่งสกอร์เซซี่ สามารถทำทุกอย่างให่สมดุล ไม่โผงผาง เอะอะบู๊จนดูเชย แถมมีมิติของตัวละครที่ยอดเยี่ยมน่าติดตาม แม้หนังจะมีความยาวถึงเกือบ 3 ชั่วโมงครึ่งก็ตาม
ความยาวเกือบ 3 ชั่วโมงครึ่ง ไม่ได้เป็นความยาวพร่ำเพรื่อ เพราะหนังบอกเล่าความเป็นไปของแต่ละตัวละครได้ยอดเยี่ยมทีเดียว มีช่วงหนืดบ้างตามประสา แต่ไม่ถึงขั้นทำให้คุณเบื่อจนจะหลับคาโซฟา แถมหนังยังใส่ความย่อยง่าย ด้วยการดำเนินเรื่องราวตลอดเวลา ไม่ได้ทิ้งให้ต้องประติดประต่อนาน ซึ่งถือว่าตอบโจทย์คนที่ไม่ได้ดูหนังแนวนี้มาเท่าไหร่
ความสมจริงของเนื้อหา และตัวตนของตัวละคร เป็นอีกจุดหนึ่งที่ช่วยให้หนังน่าติดตาม และคงความเพลิดเพลินไว้ได้ตลอด เสน่ห์ของบทพูดและการแสดงท่าทีสีหน้าแต่ละคาแรกเตอร์ ส่งผลดีต่อการชมชัดเจน นอกเหนือจากการสร้างความคมชัดฉับไว ยังให้ฟีลคลาสสิกเหมือนที่เราเคยดูหนังแก๊งสเตอร์ดีๆ สมัยก่อน ไม่ผิดเพี้ยน
นอกจากนั้น สิ่งที่ขาดไม่ได้ของหนังแนวทางนี้ คือเรื่องของอารมณ์ร่วมอื่นที่มักจะถูกใส่เข้ามาเป็นสีสัน อย่างอารมณ์ขันของทั้งตัวละคร และบทสนทนา ฉากวัดกึ๋นกวนอารมณ์ระหว่างคนที่ยอมหักไม่ยอมงอ หรือคาแรกเตอร์แปร่งๆ ที่สุดโต่งของบางตัวละคร หนังเรื่องนี้เก็บไว้เรียบวุธ ตอบโจทย์คนรักแนวทางนี้ดีแท้
อย่างไรก็ดี ความครบเครื่องของตัวบท และเนื้อหา ก็ไม่อาจจะทำหน้าที่ของมันสมบูรณ์ได้เลย หากขาดนักแสดงที่มีคุณภาพ ซึ่งบอกตามตรงเลยว่าเกินคาดที่หวังไว้ไปมาก
แน่นอนว่าการมาเจอกันของ 3 นักแสดงระดับมาสเตอร์ในยุค 70-80 จะทำให้เราตื่นเต้น แต่อีกใจนึงก็มีความระแวงเหมือนกันว่าศักยภาพของแต่ละคนจะพาเราไปได้สุดแค่ไหน โดยเฉพาะเปสซี่ ที่เราไม่ได้ดูผลงานเด่นของเขานานแล้ว หรือแม้แต่ป๋าอัล ที่ตอนหลังไม่ได้มีหนังใช้พาวเวอร์อะไรมากมาย
แต่พอได้ชมไปแล้ว ทั้ง 3 คนคือไดนามิกหลักของหนังอย่างแท้จริง โดยเฉพาะเดอ นีโร ในบทแฟรงค์ ที่ถ่ายทอดอารมณ์ทุกสิ่งได้หมดจด แม้คาแรกเตอร์ของเค้า จะไม่ได้เป็นพวกแสดงอารมณ์ออกมามากมายก็ตาม
การรับบทแฟรงค์ครั้งนี้ แม้อาจจะไม่ถึงขั้นเป็นตัวตนชัดแบบที่เราเห็น “มาร์ลอน แบรนโด” รับบท “วีโต้ คอลิโอลเน่” จาก “The Godfather” แต่มันก็เขยิบไปใกล้ความเนี้ยบแบบนั้นมากๆ และมันเทียบเคียงได้กับการรับท “เจมส์ คอนเวย์” จาก “Goodfellas” ที่เรียลกว่า มีชีวิตจับต้องได้มากกว่า
บทจิมมี่ ฮอฟฟา ของป๋าอัล ก็เกินความคาดหมายมาก ไม่ใช่เราปรามาสป๋าหรอกนะ แต่ไม่คิดว่าป๋าในวัยเกือบ 80 ปี จะระเบิดคาแรกเตอร์ได้คมชัด และดูเพลินขนาดนี้
เพราะคาแรกเตอร์จิมมี่เอง มีโอกาสสูงมากที่จะทำให้ผู้ชมรู้สึกว่า “ล้น” เกิน แต่ป๋าอัลเอาอยู่ ควบคุมทุกอย่างด้วยภาษากาย และบทสนทนาที่ยึดกับตัวละครแน่นหนา ถือเป็นอีกงานมาสเตอร์พีซของแกได้เลย
หากจะมองบทของป๋าอัล ที่ฉีกจากภาพลักษณ์บท “ไมเคิล คอลีโอลเน่” อันโด่งดังจาก “The Godfather” บทรัสเซลล์ของเปสชี่ ก็ฉีกไปจากภาพลักษณ์มาเฟียที่เราเคยเห็นเขาแสดงเช่นกัน
เพราะบทรัสเซลล์นั้น เป็นบทมาเฟียที่สุขุมนุ่มลึก มีความเป็นสายบุ๋นมากกว่าสายบู๊ ดังนั้นการที่เปสซี่ จะถ่ายทอดออกมาให้บาลานซ์ ย่อยจะไม่ง่ายดาย ไม่ต่างจากความโผงผางของบทจิมมี่ เช่นกัน
การแสดงของเปสซี่ในเรื่องนี้ ไม่มีคำไหนเหมาะไปกว่าคำว่า “งานละเอียด” สีหน้า แววตา และมูฟเมนท์ที่ไม่ต้องเยอะ แต่หนักแน่น มีความน่าเชื่อถือน่าไว้วางใจ ทำให้ตัวละครนี้ สามารถประสานเข้ากับใครก็ตามที่มาเข้าฉากด้วย
นอกเหนือจาก 3 คาแรกเตอร์หลักแล้ว ตัวละครอื่นๆ ก็ถือว่าสร้างออกมาได้โอเคเลย เพราะแน่นอนว่าหนังแก๊งสเตอร์ ตัวละครต้องเยอะ ฉายาก็ต้องมี คาแรกเตอร์ออกมาแป๊บๆ แต่ต้องชัด ซึ่งโดยรวม The Irishman ทำตรงนี้ได้ครบ แม้บางทีจะดูใส่มาให้เยอะแบบรักพี่เสียดายน้องไปหน่อยก็ตาม
ทั้งหมดทั้งมวลที่รีวิวมา เป็นการมองภาพรวมของหนังเสียมากกว่าไปแตะรายละเอียด และเนื้อหา ซึ่งอาจจะเป็นการชี้นำ หรือสปอยล์ได้ (จริงๆ หนังไม่ก็ไม่มีอะไรให้สปอยล์มากนักหรอก)
ที่น่าเสียดายอยู่นิดหน่อย คือหนังเหมือนจะไปแตะฟีลลิ่งความสัมพันธ์ของครอบครัวอย่พอสมควร โดยเฉพาะครอบครัวของแฟรงค์ ที่เป็นตัวเดินเรื่องหลัก แต่มันยังไม่สามารถสร้างพลังให้คนดูอินได้ถึงจุดที่มันควรจะเป็นในตอนท้าย แม้หนังอาจจะพอติ๊ต่างว่าเน้นแสดงมุมมองบุคคลที่ 1 จากแฟรงค์เป็นหลักก็ตาม
แต่เพียงเท่านี้ คงจะเห็นได้ว่าผมปลาบปลื้ม และรู้สึกสมการรอคอยแค่ไหน กับหนังที่เราตื่นเต้นตั้งแต่สกอร์เซซี่ เกริ่นว่าอยากจะทำ เพราะมันไม่เพียงหวนนำเอาอารมณ์เก่าๆ ในการชอบดูหนังแก๊งสเตอร์กลับมาให้หายคิดถึง หนังมันยังตั้งตัวเป็น “หนังคุณภาพ” ที่นอกจากจะขึ้นเวทีรางวัลมากมายแน่ๆ ยังเป็นหนังที่คุณไม่ควรพลาดชมก่อนตาย
ให้คะแนน : 9.5/10
ครบถ้วนสมบูรณ์ ในฐานะหนังที่ยอดเยี่ยมเรื่องหนึ่งควรจะมี บทดี ดำเนินเรื่องดี ไม่มีช่วงให้เบื่อ นักแสดงคุณภาพ ซึ่งสามารถปล่อยของได้เกินคุณภาพ!
Picture : Netflix, Movietickets.com, Hollywood Reporter, The Federalist, IrishCentral, The New York Times, Film School Rejects, Radio Times, IndieWire, The Irish Times, YouTube, Maxim, Flickr, Washington Post, The New Daily