กำลังถูกพูดถึงกันอย่างมาก สำหรับ “รักฉุดใจนายฉุกเฉิน My Ambulance” ซีรีส์เรื่องใหม่จากนาดาว ที่กลายเป็น Talk of the town มาตั้งแต่ปล่อยเพลงประกอบ “รักติดไซเรน” ออกมา โดยนอกจากยอดวิวจะทะลุไปไกล ยังมีการ Cover ทั้งร้อง ทั้งเต้น กันทั่วบ้านทั่วเมือง
ซีรีส์เรื่องนี้ (ทีมงานเรียกว่าเป็นละคร แต่เราขอเรียกซีรีส์เนอะ) เป็นการกลับมาออนแอร์ ในเวลาไพรม์ไทม์อีกครั้งของ “นาดาว บางกอก” ที่เคยสร้าง “เลือดข้นคนจาง” ให้ติดกันงอมแงม พูดถึงกันทั้งโซเชี่ยล
ผู้กำกับหลักของเรื่อง เป็น “นฤเบศ กูโน” ลูกหม้อของค่าย ที่เคยมีผลงานกำกับเต็มตัวมาแล้วในซีรีส์ “Project S” ตอน “Side by Side พี่น้องลูกขนไก่” เสริมด้วย “ภัทรนาถ พิบูลย์สวัสดิ์” ผู้กำกับร่วม ที่เคยเขียนบทดีๆ กับทั้ง Side by Side และ “Friend Zone” มาแล้ว
เนื้อหาหลักของ “รักฉุดใจนายฉุกเฉิน My Ambulance” พูดถึงความรักของคู่รักคู่นึง ที่คบกันมายาวนาน 15 ปี ระหว่าง “เป้ง” (รับบทโดย ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) หมอประจำหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน กับ “ทานตะวัน” (ใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่) ผู้หญิงที่ทุ่มเทดูแลเป้ง และคิดว่าเขาคือทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิตเธอ
ระหว่างทั้งคู่ มีพลังพิเศษที่เรียกว่า “พลังแฟน” คือฝั่งทานตะวัน จะสามารถใช้พลังเรียกหมอเป้ง มาหาได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน โดยเป้ง สามารถทะลุผ่านตัวกลางที่ใกล้ตัวที่สุด อย่างเช่น ประตู หรือ กำแพง โดยทั้งคู่เชื่อว่าพลังนี้เกิดจากความรักที่มีให้กัน
แต่แล้วเรื่องราวพลิกผัน เมื่ออยู่ดีๆ พลังที่เคยเรียกเฉพาะหมอเป้งมาหา กลับไปมีผลกับ “ฉลาม” (สกาย-วงศ์รวี นทีธร) นักเรียนแพทย์ปี 6 หมอฝึกหัดในความดูแลของหมอเป้ง โดยทั้ง 3 คน ก็ไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องนี้ขึ้นได้ยังไง
นอกเหนือจากความวุ่นวายเรื่องพลังแล้ว ความรักระหว่างทานตะวันกับหมอเป้ง ก็เริ่มพบกับความตะกุกตะกัก เมื่ออาชีพ และการอุทิศตนให้งานของหมอเป้ง ทำให้เวลาที่เขาจะได้เจอทานตะวัน ลดน้อยลงทุกที แม้ทานตะวันจะพยายามทำความเข้าใจ แต่บางทีมันก็ยากเกินไปสำหรับคนที่ทุ่มเททุกอย่างให้คนรักอย่างเธอ
ซีรีส์เรื่องนี้ ออกฉายทุกวันศุกร์-เสาร์ ช่วงค่ำทางช่อง One พึ่งลงจอเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (ตอนแรกวันที่ 6 ก.ย.) ถึงตอนเขียนบทความนี้ก็ผ่านไป 2 EP เป็นที่เรียบร้อย
แม้โทนหนังที่ทางนาดาวโปรโมต จะเน้นว่าเป็นซีรีส์แนวโรแมนติก-แฟนตาซี-คอมเมดี้ แต่พอได้ชมแก่นเรื่องที่หนังพยายามขับเคลื่อนไปใน 2 EP ที่ผ่านมา ชัดเจนว่าแนวอารมณ์ “ดราม่า” ถือเป็นส่วนผสมใหญ่ทีเดียว ที่ซีรีส์เรื่องนี้ใช้ดำเนินเรื่องราว
ความ “ดราม่า” ที่ซีรีส์ใช้งานนั้น เป็นเหมือนดาบสองคมที่ท้าทายเหมือนกัน ข้อดีคือมันเพิ่มมิติลงไปในโครงเรื่องได้ดี การใช้เรื่องของความสัมพันธ์ เรื่องของอินเนอร์ตัวละคร และเรื่องความเป็นความตายที่เกี่ยวโยงกับเรื่องการแพทย์ ทำให้เรื่องราวดำเนินไปได้หนักแน่น จับต้องได้ ยิ่งกับฝีมือของนาดาว ซึ่งการันตีว่าทำจุดนี้ได้ดีเสมอมา
แต่ในอีกมุมนึง การที่พยายามใส่ความเป็นดราม่าเข้าไปผสมกับ แฟนตาซี-คอมเมดี้ มันก็เป็นงานหนักเหมือนกัน ที่จะเกลี่ยทุกอย่างให้ลงตัว เพราะมันไม่ใช่โทนที่ไปด้วยกันได้ง่ายเหมือน “เลือดข้นคนจาง” ที่เอาเรื่องครอบครัวมาผสมดราม่า หรือ “Side by Side” ซึ่งเป็นเรื่องความสัมพันธ์ในยูนิตครอบครัวเช่นกัน
จุดนี้ ยังทำให้ส่วนตัวรู้สึกติดขัดอยู่บ้าง โดยเฉพาะใน EP แรก ที่ต้องปูทางให้คนดูเข้าใจสิ่งที่ซีรีส์อยากจะเป็น แต่พอดู EP 2 จบลงไป ก็รู้สึกว่าซีรีส์ทำได้ดีขึ้น เมื่อเริ่มทำความรู้จักกันมากขึ้นในมุมของตัวละคร และความรู้สึกของผู้ชม ก็หวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะลงตัวมากขึ้นใน EP ถัดๆ ไป
และอีกสิ่ง ที่อาจจะทำให้หลายคนรู้สึกแปลกตาออกไปบ้าง นั่นคือซีรีส์มีการใส่อารมณ์ และอินเนอร์ของตัวละครที่แปลกแตกต่างจากละคร หรือซีรีส์ไทยทั่วไป จะเรียกว่ามีความเป็นคอมเมดี้แบบซีรีส์เกาหลี ก็คงจะพอได้ ทีมสร้างน่าจะมีแรงบันดาลใจ และอยากผลักดันให้ธีมเรื่องไปทางนั้น ซึ่งมันก็ทำให้เราต้องปรับอารมณ์ให้ชินอยู่บ้างเหมือนกัน
ทั้งหมดทั้งมวล นอกเหนือจากการทำเรื่องบทที่ค่อนข้างเก่งของทีมนาดาว จนประคับประคองมวลรวมของหนังให้ออกมาสนุก แม้จะมีโทนหลากหลาย ส่วนนึงก็ต้องชมไปที่ทีมนักแสดงด้วย ที่ทำหน้าที่ได้ดี และทำให้เราเชื่อว่าพวกเขาสวมบทตัวละครนั้นอยู่จริงๆ
คนที่อยากชื่นชมเป็นพิเศษคือ “ใหม่-ดาวิกา” ที่รับบท “ทานตะวัน” ได้แนบเนียนจริงๆ ไม่เพียงแต่พาตัวละครแสดงอารมณ์ได้ถึงขีดในทุกฟีลที่ตัวละครถ่ายทอด เธอยังคงความมีออร่า และเสน่ห์ไว้ได้เต็มเปี่ยม คาดว่ากว่าจะจบเรื่อง คงมีซีนอารมณ์อีกเพียบให้เธอได้พิสูจน์ฝีมือ
“ซันนี่” กับบท “หมอเป้ง” ทำได้ดีตามมาตรฐาน และซันนี่ยังคงใช้ความเก่งของเขา ในการกลืนตัวเองเข้าไปกับตัวละครที่ได้รับ เพียงแต่มันอาจจะมีความตงิดอยู่ในใจเราบ้างลึกๆ เพราะอาจจะติดภาพคาแรกเตอร์คอมเมดี้ที่ซันนี่มักจะได้รับ “ความนิ่ง” ในบทหมอเป้ง มันเลยยังทำให้เรารู้สึกขัดอยู่บ้าง ประมาณว่า “อีกนิดน่าพี่ซัน ขออีกนิด”
พูดถึง “สกาย-วงศ์รวี” กับบท “ฉลาม” หน่อย เพราะถือเป็นตัวเด่นที่น่าจะมีบทบาทสำคัญไม่แพ้ 2 ตัวนำ สกายพัฒนาเรื่องการแสดงอารมณ์ซีนดราม่าได้ดีต่อเนื่อง หลังก้าวกระโดดชัดเจนมาแล้วใน “Side by Side” อาจจะมีอยู่บ้างที่การพูดเร็ว และการพยายามขึงขังไปด้วย ยังทำให้อารมณ์ที่ปล่อยออกมาไม่ชัดนัก แต่ก็ถือว่าโอเค ไม่ได้ติดขัด
กับตัวละครอื่นๆ ใน 2 EP แรก ยังไม่ได้มีบทบาทชัดเจนนัก คงยังไม่แฟร์หากตัดสินกันตอนนี้ “ต้าเหนิง-กัญญาวีร์” ยังมีแข็งๆ และพูดไม่ชัดเจนอยู่บ้าง “แบงค์-ธิติ” น่าจะมีซีนอารมณ์ให้ได้เล่นอีกใน EP ต่อๆ ไป อันนี้รอชม ส่วนแกงค์หมอฝึกหัด ก็เป็นตัวลูกคู่เสริมมากกว่า ยังไม่มีซีนปล่อยอารมณ์หนักๆ ให้เห็น
ก่อนบทสรุป คงต้องพูดถึง “ความกล้า” อีกส่วน ที่นอกเหนือจากการมิกซ์อารมณ์หลายแนวลงมาในซีรีส์เรื่องเดียว นั่นคือการพยายามทำซีรีส์ “การแพทย์” ที่ลงรายละเอียดให้สมจริง แม้มันอาจจะเร็วไป ที่จะฟันธงตัดสินว่าสุดท้ายซีรีส์ จะทำได้ดีระดับไหน เมื่อจบเรื่องลง
แต่อย่างน้อยกับ 2 EP ที่ผ่านมา ก็ทำให้เราได้เห็นถึงความตั้งใจเตรียมงานของทีมงาน และนักแสดง การพยายามใช้ศัพท์เทคนิค และการเล่นซีนเสมือนการปฏิบัติจริง พร้อมมีคำอธิบายให้คนดูเข้าใจไปด้วย ดูเป็นแนวโน้มที่ดี ที่เราคาดหวังว่าทีมงานไทย จะทำได้ดีเหมือนที่ฝรั่ง หรือเกาหลี เค้าทำกัน
ผ่านไป 2 EP คะแนนที่ให้ 8.5/10 อาจจะยังไม่สามารถบรรยายภาพรวมทั้งหมดของซีรีส์ได้ แต่ก็ขอชื่นชมในเรื่องความกล้าใส่แนวใหม่ๆ ลงมาในซีรีส์ไทย และทำมวลรวมออกมาได้ดี เรื่องราวมากมายที่ถูกปูไว้ ถือว่าน่าสนใจ และทำให้อยากดูต่อ ส่วนจะขมวดปมต่างๆ ได้ดีแค่ไหน อันนี้คงต้อรอชมกันต่อไปครับ
ระดับความน่าดู : 8.5/10 (อยากให้ลองชมอารมณ์ซีรีส์ไทยที่แตกต่าง และมีเนื้อหาปูไว้น่าติดตาม)
Picture : Nadao Series, GDH, We-Play.tv, Blockdit, โพสต์ทูเดย์, Star E News, Clubsister, a day