หลังจากสาว “บรี ลาร์สัน” ดังเปรี้ยงปร้างกลายเป็น Talk of the town กันไปกับบท “Captain Marvel” ในหนังฮีโร่หญิงเดี่ยวคนแรกของ Marvel Studios ทาง Netflix ก็จัดการปล่อยหนังผลงานการกำกับเรื่องแรกของเธอ ออกมาตอบรับกระแสทันที โดยหนังสามารถรับชมได้ทาง Netflix ตั้งแต่ 5 เม.ย. ที่ผ่านมา
ความจริงแล้ว หนังความยาว 92 นาทีเรื่องนี้ เคยฉายปฐมฤกษ์ให้คนได้ชมกันเฉพาะกลุ่มไปแล้ว ที่เทศกาลหนังโตรอนโต้เมื่อปี 2017 ก่อนจะถูก Netflix ซื้อลิขสิทธิ์มาจัดจำหน่ายเมื่อช่วงต้นปี 2019 แล้ววางแผนปล่อยออกมาผ่านแพลตฟอร์มในเดือน เม.ย. ซึ่งเป็นช่วงที่กระแส Captain Marvel ยังคงมีอยู่ แถมคนก็ยังเริ่มตื่นเต้นกับ Avengers: Endgame เข้าไปอีก จึงเป็นแผนการตลาดหวังผลที่น่าจะเหมาะในมุมมองของ Netflix
ใน “Unicorn Store” นั้น นอกจากบรี ลาร์สัน จะรับหน้าที่กำกับ และแสดงนำเองแล้ว ยังได้คู่หูที่รับส่งกันได้เข้าขาใน Captain Marvel อย่าง “แซมมวล แอล. แจ็คสัน” มาร่วมแสดงด้วยอีกต่างหาก
“Unicorn Store” เล่าเรื่องราวของ “คิท” (รับบทโดยบรี ลาร์สัน) หญิงสาวที่ยังไม่ประสบความสำเร็จอะไรในชีวิตเป็นชิ้นเป็นอัน เธอไม่ผ่านการสอบในโรงเรียนศิลปะที่เธอหมายมั่นปั้นมือ พอหางานใหม่ก็ได้ทำหน้าที่แค่เป็นเด็กถ่ายเอกสาร
แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อเธอได้รับบัตรเชิญลึกลับ ที่พาเธอไปยัง “The Store” ร้านแปลกประหลาด ที่มีพนักงานขาย (แซมมวล แอล. แจ็คสัน) เสนอจะมอบม้ายูนิคอร์นตัวเป็นๆ ซึ่งเป็นความฝันในวัยเด็ก ให้กับเธอ โดยมีข้อแม้ว่าเธอจะต้องเตรียมตัวในเรื่องต่างๆ ให้พร้อม ก่อนจะได้รับยูนิคอร์นในฝันไปเลี้ยงให้สมใจ
ครับ… ฟังเนื้อเรื่องย่อตอนแรก ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน ว่าตอนดู เราต้องเจอกับอะไรบ้าง(ฟระ)เนี่ย?!แต่พอเอาเข้าจริงแล้ว หนังไม่ได้มีความแฟนตาซีเพ้อฝันอะไรมากมายนักหรอก หนังเลือกที่จะดำเนินเนื้อหาไปกับชีวิตธรรมดาของตัว “คิท” นางเอกของเรื่องนี่แหละ โดยมีการหยิบเอาปมต่างๆ ของตัวละครมาผูกกับความฝันวัยเด็ก ที่เธออยากจะมีเจ้ายูนิคอร์นสักตัวนึง
จุดอ่อนสำคัญของหนังเลย คือความครึ่งๆ กลางๆ ที่พยายามจะขับคาแรกเตอร์ และความสดใสของเรื่องราว ไปควบคู่กับการแก้ไขปมในใจของตัวละคร ส่วนหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะว่าหนังเลือก “ยูนิคอร์น” เป็นจุดเชื่อมเรื่องราว มันเลยทำให้เนื้อหามีความกล้าๆ กลัวๆ ว่าควรจะเป็นคอมเมดี้ หรือดราม่า ควรเพ้อฝัน หรือควรจับต้องได้ เมื่อออกลูกกั๊ก มันก็เลยลงเอยทำให้หนังไม่ค่อยดึงดูดให้เราจดจำเท่าไหร่
สิ่งที่น่าเสียดายอีกอย่าง คือในช่วงท้ายของหนัง หนังมีจังหวะการขมวดปมของตัวละครได้โอเคดีเหมือนกัน มีบทสนทนา และประโยคที่เรียบง่าย แต่สื่อให้เราเข้าใจความหมายของชีวิตได้เหมือนหนังดราม่าดีๆ เรื่องหนึ่งควรจะมี แต่น่าเสียดายที่บริบทโดยรอบมันไม่ค่อยส่ง ฉากเหล่านั้นจึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะพาเราปะติดปะต่อความรู้สึกไปไกลกว่านั้น
ในส่วนของบทบาทการแสดง “บรี ลาร์สัน” ทำได้ตามมาตรฐานของเธอจังหวะจะโคนของเธอในการสื่อบทสนทนาทำได้ดี และทำให้เราชื่อว่าเธอกำลังสวมบทตัวละครคิทอยู่ สามารถคุมโทนของหนังได้ดี แม้ตัวละครแวดล้อมอื่นๆ จะดูมีบทสนทนาที่ไม่ราบรื่นเข้ากับเธอเท่าไหร่ก็ตาม
พูดถึงแซมมวลหน่อยนึง ในฐานะที่อุตส่าห์ยอมมารับบทที่แต่งตัวสีฟรุ้งฟริ้ง และมีสายรุ้งเส้นๆ บนหัว (ฮ่า) บทพนักงานขายลึกลับของแซมมวล ก็ไม่ได้เด่นอะไรมากนัก และก็ดูจะสร้างสรรค์อะไรนอกกรอบยากไปนิดนึง เขาก็ใช้สำเนียงที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาสร้างบทสนทนาไป ไม่มีอะไรหวือหวา ก็เลยแอบเสียดายไปหน่อย ว่าไม่ค่อยได้แสดงเคมีที่เข้ากันกับตัวละครของบรี ลาร์สัน สักเท่าไหร่
อย่างที่เกริ่นไปในตอนต้น ว่าหนังไม่ได้มาขายความฟรุ้งฟริ้งเพียงอย่างเดียว หนังมีความเป็นดราม่าเจือปนอยู่ในแกนหลักอยู่พอสมควร แม้มันจะไม่ได้สื่อให้เราได้รับใจความที่ชัดเจนเพียงพอนัก แต่มันก็พอมีข้อคิดสอนใจให้เรารู้สึกว่า เราไม่ได้ถึงขั้นมาดูหนังแบบเสียเวลาเปล่า
ส่วนตัวชอบแง่คิดที่เราต้องรู้จักเติบโต เมื่อเราเสียหลักล้มในเรื่องอะไรของชีวิตก็แล้วแต่ ทั้งตั้งใจ และไม่ตั้งใจ อย่างน้อยการหกล้ม ก็ทำให้เรารู้ว่าต้องยืนขึ้น แล้วเดินต่อไปยังไง
ระดับความน่าดู : 6/10 (ถ้าว่างก็ดู มันไม่ได้แย่หรอก แต่จะข้ามไปก็ได้)
Picture : Bustle, Vulture, Student Edge, Variety, IGN, The Ringer, The Verge