ช้าก่อน! มาดูเหตุผลที่อาจทำให้หงส์น้ำตาตก พลาดแชมป์ลีก! - The Macho
 
Roral Enfield - Hunter 350
728x150 - Nissan Almera
728x150 - Hunter4
ช้าก่อน! มาดูเหตุผลที่อาจทำให้หงส์น้ำตาตก พลาดแชมป์ลีก!

ผ่านการแข่งขันพรีเมียร์ลีกไปแล้ว 24 นัด กับความพ่ายแพ้ที่เซนต์ เจมส์ พาร์คของ “เรือใบสีฟ้า”​ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เองก็ทำได้แค่เก็บ 1 แต้มในแอนฟิลด์กับเลสเตอร์ ซิตี้ ทำให้ระยะห่างของทั้งสองทีมอยู่ที่ 5 คะแนน กับอีก 14 นัดที่เหลืออยู่

ใครที่เป็นแฟนหงส์แดง (หรือแฟนทีมอื่นที่คอยแช่ง..) ย่อมรู้ดีว่า มันยังไม่มีอะไรการันตีเลยว่าหงส์แดงจะเข้าป้ายคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 29 ปีแบบนอนมา เพราะนอกจากการห่างหายความสำเร็จในบอลลีกมายาวนาน และเคยมีประวัติสะดุดมอบแชมป์ให้ซิตี้ไปหน้าตาเฉย ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเหลือการแข่งขันเพียง 3 นัด ยังจะมีความรู้สึกอึดอัดในการลงเล่นแต่ละนัดพักหลังๆ ซึ่งชนะก็ชนะแค่หืดจับ ยิ่งกับเกมล่าสุดที่เสมอเลสเตอร์ในบ้าน ด้วยการยิงเข้ากรอบเพียง 3 ครั้งอีก อีกตั้ง 14 นัด หนืดแบบนี้ตลอด มีสิทธิ์พลาดทำแต้มหล่นแบบนี้อีกไม่ช้าก็เร็วกับอีก 14 นัดที่เหลือ เราเลยลองหยิบเอาสถิติ และปัจจัยต่างๆ มาคิดดูเพิ่มเติม ว่ามีเหตุไหนได้บ้าง ที่อาจจะทำให้ “หงส์แดง” ไม่ตะแคงฟ้าไปถึงฝั่งฝันที่รอคอยมายาวนานได้

มาตรฐานการลุ้นแชมป์ที่สูงลิบ

ถ้าไม่นับบางนัดที่ฟอร์มฝืดไปบ้าง หรือต้องอาศัยโชคดวงไปบ้างในการเก็บแต่ละแต้ม จะว่าไปจากสถิติการลงเล่น 24 นัด ชนะ 19 เสมอ 4 และแพ้แค่นัดเดียว ทำได้ 61 แต้ม ถือว่าเป็นสถิติที่ดีสุดเป็นอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่ทีมๆ หนึ่งจะทำได้เมื่อผ่าน 24 นัด อันดับ 1 คือซิตี้ในฤดูกาลที่แล้ว ที่ทำได้ 65 แต้ม ซึ่งขณะนั้นนำอันดับ 2 อย่างแมนฯ ยู ถึง 12 แต้ม ส่วนอันดับ 2 นั้นต้องย้อนไปปี 2005/06 ซึ่งเชลซีทำแต้มได้ตอนนั้น 63 แต้ม นำหน้าอันดับ 2 ซึ่งคือแมนฯ ยูเช่นกัน อยู่ถึง 15 แต้ม เปรียบเทียบกับผลงานของซิตี้ในฤดูกาลนี้ แม้จะเป็นที่ 2 และพึ่งพลาดท่าแพ้มา 3 ใน 7 นัดหลังสุด แต่ตัวเลขคะแนนอยู่ที่ 56 แต้ม ติดอันดับ 13 ผลงานดีที่สุดที่ทีมนึงจะทำได้หลังผ่าน 24 นัดด้วยซ้ำไป จึงสรุปได้ง่ายๆ เลยว่า มาตรฐานการทำคะแนนลุ้นแชมป์ปีนี้สูงเอามากๆ

หรือจะเทียบกับฤดูกาล 2013/14 ที่ลิเวอร์พูลเข้าใกล้แชมป์พรีเมียร์ลีกมากที่สุด ผ่าน 24 นัดตอนนั้น จ่าฝูงคืออาร์เซน่อลที่ 55 แต้ม ตามมาด้วยซิตี้ และเชลซีที่ 53 แต้ม หงส์แดงเป็นที่ 4 ที่ 47 แต้ม นั่นคือจ่าฝูงตอนนั้น ถ้ามาอยู่ฤดูกาลนี้จะอยู่ได้แค่อันดับ 3 ส่วนถ้าคิดเฉพาะผลงานหงส์แดง ซีซั่นนี้ทำแต้มได้มากกว่าถึง 14 แต้ม แต่ยังไม่วายโดนซิตี้ตามกดดันอยู่แค่ 5 แต้ม

สถิติการเสียประตูที่พุ่งสูงขึ้น

แน่นอนว่าฤดูกาลนี้ ทุกคนทราบดีถึงจุดแข็งในเกมรับของลิเวอร์พูล นับตั้งแต่ได้อลิซง เบ็คเกอร์ มาประสานงานกับเวอร์จิล ฟาน ไดค์ บวกกับฟอร์มสม่ำเสมอของแอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และมีช่วงที่โจ โกเมซ อัพเกรดตัวเองขึ้นมาเล่นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟได้แข็งแกร่ง สถิติการเสียประตูของหงส์แดง จึงลดลงอย่างมาก โดยเก็บได้ถึง 12 คลีนชีต จาก 19 นัด เสียประตูตอนนั้นเพียงแค่ 7 ประตู นับสถิติแค่ 19 นัด เสียประตูเพียง 0.37 ต่อนัด ถือเป็นอันดับ 1 ตั้งแต่มีพรีเมียร์ลีกมาเลยทีเดียว

แต่ภูผาหิน ก็ต้องกร่อนลงสักวัน เมื่อเจอปัญหาอาการบาดเจ็บของแผงหลัง บวกกับเรื่องโชค เรื่องจังหวะ 5 นัดหลังจากนั้น ลิเวอร์พูลเสียประตูมากถึง 7 ประตู จนทำให้สถิติเปลี่ยนเป็นเล่น 24 นัด เสียทั้งสิ้น 14 ประตู จากอันดับ 1 ตลอดกาลของพรีเมียร์ลีกตอนจบนัด 19 หล่นมาอยู่เพียงอันดับ 7 ด้วยสถิติเสียประตู 0.58 ต่อนัด เมื่อผ่านนัดที่ 24

กำลังสำรองที่มีอยู่ยังไม่ดีพอ

จริงอยู่ที่ฤดูกาลนี้หงส์แดงได้คะแนนไม่น้อยจากกำลังสำรองข้างสนาม อย่างลูกยิงสุดสวยของสเตอร์ริดจ์นัดเจอเชลซี, ลูกโหม่งสุดเซอร์ไพรส์จากโอริกีในนัดกับเอฟเวอร์ตัน หรือการทำหน้าที่ซูเปอร์ซัพของชากิรี่ ที่ทำได้หลายประตู แต่โอกาส “ตัวสำรองเปลี่ยนเกม” แบบนั้น คงไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เมื่อเทียบกับคุณภาพที่ทีมมี

ซีซั่นนี้ตัวสำรองของหงส์แดงดีขึ้นจริง เพราะมีนักเตะมีดีกรี นั่งสำรองอยู่ข้างสนามมากขึ้น แต่ในเมื่อหนทางเตะฟุตบอลลีกนั้นยาวนานถึง 38 นัด จุดอ่อนตรงนี้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อทีมเจออาการบาดเจ็บรุมเร้า และต้องมีการหมุนเวียนผู้เล่นบ่อยยิ่งขึ้น อย่างชากิรี่ที่ฟอร์มวูบวาบหดหายเมื่อเป็นตัวจริง หรือเกอิต้าที่ยังหาฟอร์มที่ดีสม่ำเสมอไม่ได้ ในแดนหน้า คล็อปป์เองก็ไม่กล้าใช้งานสเตอร์ริดจ์ หรือโอริกีในระยะเวลานานกว่า 15-20 นาที ทำให้นัดไหนที่เล่นไม่ออก ก็ยังจะเป็น 3 ประสานในแดนหน้าที่ต้องพยายามกันจนสุดทาง ยังไม่รวมปัญหาในแดนหลัง เมื่อขาดโจ โกเมซไปในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ค เพราะมาติป และลอฟเรน ก่อความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ อยู่เรื่อยไป

สมาธิในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล

แม้ฤดูกาลนี้ รูปแบบการเล่นเกมรับ และการเพิ่มความแน่นอนในการเล่นของลูกทีมเจอร์เก้น คล็อปป์จะดีขึ้นชัดเจน จากสถิติการเสียประตูที่ลดลงเกิน 50% เมื่อนับมาถึงนัดที่ 24 (ซีซั่น 2016/17 เสียไป 30 ประตู, ซีซั่น 2017/18 เสียไป 29 ประตู แต่ซีซั่นนี้เสียไปแค่ 14 ประตู) แต่ในช่วง 4-5 นัดหลัง หงส์แดงเริ่มจะเสียประตูในลักษณะที่ไม่เคยเสียมาก่อนในช่วง 20 นัดแรก

เริ่มจากการเสีย 2 ประตูครั้งแรกในแมทช์ไปเยือนอิติฮัดของซิตี้ ซึ่งอันนี้อาจจะพอรับได้ในฐานะคุณภาพคู่แข่งที่สูงลิบ แต่กับการเสีย 3 ประตูกับคริสตัล พาเลซ บ่งบอกได้ชัดว่าเกมรับของหงส์แดงมีปัญหาอยู่เหมือนกัน นอกจากนั้น 1 ใน 3 ประตูของพาเลซ จากเจมส์ ทอมกินส์ มาจากการเสียประตูจากลูกเซตพีซโดยตรง รวมถึงเป็นการเสียประตูจากลูกโหม่งครั้งแรกในลีกอีกด้วย และเมื่อนับนัดล่าสุดกับประตูตีเสมอของแฮร์รี่ แม็คไกวร์ ในนัดเสมอเลสเตอร์ 1-1 นั่นก็เป็นประตูแรกเช่นกันที่ลิเวอร์พูลเสียประตูในช่วง 5 นาทีสุดท้ายของครึ่งแรก ซึ่งแน่นอนว่ามันส่งผลกระทบกับรูปแบบการเล่นที่ทีมตรงข้าม จะวางหมากลงมาเจอกับหงส์แดงใน 45 นาทีหลัง

รายละเอียดที่ว่าไป จึงบ่งบอกว่าสมาธิของนักเตะหงส์แดง โดยเฉพาะการป้องกันของทีม (ไม่ใช่แค่แดนหลังนะครับ การป้องกันต้องมาจากทั้งทีม) เริ่มถูกทดสอบหนักขึ้นในช่วงหลัง และดูมันจะมีอาการเป๋ออกมาให้เห็นเหมือนกัน

โปรแกรมการแข่งขันเหมือนไม่หนัก แต่วัดใจ

หากเทียบโปรแกรมที่เหลืออีก 14 นัดของหงส์แดงแล้ว จะว่าไปก็ถือว่าเบากว่าคู่แข่งอย่างแมนฯ ซิตี้ เพราะพลพรรคหงส์แดงเหลือเจอทีม Top 6 อีก 3 เกม แบ่งเป็นเยือนยูไนเต็ด 1 นัด ส่วนอีก 2 นัด เป็นการลงเล่นในบ้านกับสเปอร์ และเชลซี เกมเยือนที่อาจจะหนักหน่อยอีกเกม คือการเยือนกูดิสัน พาร์ค ที่เอฟเวอร์ตันเล่นได้ดีเสมอเวลาเจอกับหงส์แดงในยุคของคล็อปป์ กลับกันซิตี้ยังเหลือแมทช์กับ Top 6 อีกถึง 4 แมทช์ เป็นเยือน 1 นัด คือแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด และเหย้า 3 นัดกับอาร์เซน่อล, เชลซี และสเปอร์ ในขณะที่มีโปรแกรมต้องเยือนกูดิสัน พาร์ค และเยือน พาเลซ ทีมซึ่งเคยยัดเยียดความปราชัยนัดแรกในฤดูกาลให้พวกเขา

จากโปรแกรมที่ว่ามา ดูเหมือนว่าหงส์แดงจะเป็นต่อ แต่ก็ต้องไม่ลิมว่าด้วยปัจจัยความกดดันต่างๆ อาจจะทำให้หลายนัดไม่ง่ายอย่างที่คิด อย่างการเยือนยูไนเต็ด กับ เอฟเวอร์ตัน หรือการเยือนทีมหนีตกชั้นอย่างฟูแล่ม, คาร์ดิฟฟ์ และนิวคาสเซิล ซึ่งรับรองจะมีอะไรให้แฟนหงส์ได้ลุ้นกันอีกเยอะ ยังไม่รวมกับการจัดสรรตัวในการเล่น UCL กับบาเยิร์น มิวนิค ที่จะกลับมาในเดือน ก.พ. อีก

กับซิตี้เอง แม้โปรแกรมจะดูหนักกว่า แต่อย่าลืมว่าซิตี้เล่นกับทีม Top 6 ได้ดีมากในซีซั่นนี้ แม้จะพลาดท่าพ่ายเชลซีไป 1 นัด แต่ซิตี้เก็บ 4 แต้มจากลิเวอร์พูล ชนะแมทช์เยือนกับทั้งสเปอร์ และอาร์เซน่อล ดังนั้นแล้ว ถ้าซิตี้รักษามาตรฐานการเล่นในระดับสูงไว้ โอกาสที่จะเอาตัวรอดในโปรแกรมเหล่านี้อาจจะไม่ยากอย่างที่หลายคนคิด แม้ซิตี้จะมีอีก 3 ถ้วยให้ต้องพะวงก็ตามที

เดือน ก.พ. อาจทำพิษ

ปกติแล้วหงส์แดงเองจะมีอาการเป๋ให้เห็นในลีกช่วงเดือน ธ.ค.​ หรือ ม.ค. เสมอๆ แต่กับปีนี้ หงส์แดงผ่านบททดสอบใน 2 เดือนนี้มาได้ไม่เลวเลย แต่ความโหดของการลุ้นแชมป์มันยังไม่จบแค่นั้น เพราะเดือนที่เหลือ โดยเฉพาะ ก.พ. อาจจะส่งผลกระทบใหญ่หลวง

โปรแกรมแรกของเดือน ก.พ. ซิตี้จะเล่นก่อนในวันอาทิตย์ที่ 3 ก.พ. โดยเปิดบ้านรับอาร์เซน่อล ถ้าชนะ จะบีบคะแนนเหลือช่องว่างแค่ 2 แต้ม หากลิเวอร์พูลที่ลงเล่นมันเดย์ไนท์คืนวันที่ 4 ก.พ. ด้วยการไปเยือนเวสต์แฮม ไม่สามารถเก็บชัยได้ ซิตี้จะมีอีกแมทช์ที่ยกมาเตะก่อน (ด้วยเหตุเข้ารอบบอลถ้วยหลายรายการ) ในวันที่ 6 ก.พ. ออกไปเยือนเอฟเวอร์ตัน ซึ่งถ้าซิตี้เก็บ 3 แต้มได้ ซิตี้จะขึ้นมาทำแต้มเท่า และนำเป็นจ่าฝูงแน่นอน จากประตูได้-เสียที่ดีกว่า

ถ้าสถานการณ์เป็นแบบนั้นขึ้นมาแล้ว ลิเวอร์พูลเองต้องพบกับความกดดันอีกมาก แม้เกมต่อไปจะไม่ยาก เปิดบ้านรับมือกับบอร์นมัธก็ตาม และถ้าหงส์แดงเกิดสะดุดขึ้นมาอีก 2 นัดถัดไปคือ UCL กับบาเยิร์น มิวนิค และการเยือนโอลด์ แทรฟฟอร์ด ในศึกแดงเดือด ซึ่งรับรองว่าต้องพึ่งฟอร์มที่ยอดเยี่ยมมากๆ ถึงจะผ่านไปได้ ก่อนปิดท้ายด้วยการเปิดบ้านรับวัตฟอร์ด ซึ่งระยะเวลา 3 แมทช์นี้ ห่างกันเพียง 8 วัน

ขึ้นชื่อว่า “หงส์แดง” ไม่เคยมีอะไรง่าย

ปัจจัยสุดท้ายนี้ไม่เกี่ยวข้องกับสถิติอะไรทั้งนั้น แต่เป็นเหมือนสัจธรรมที่แฟนหงส์แดงทุกคนย่อมรู้ดี ว่าการจะคว้าแชมป์สักถ้วยของทีมนั้น ไม่เคยได้มาอย่างง่ายดายเลย ไม่ว่าจะเป็นการพลิกนรกกลับมาชนะเอซี มิลานใน UCL, การล้มอลาเบสแบบโกลเด้นโกล์ คว้ายูฟ่า คัพ, การคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ จากการดวลจุดโทษกับเวสต์แฮม หรือยิงแซงอาร์เซน่อลท้ายเกม หรือแม้กระทั่งการคว้าแชมป์ลีกคัพ กับทีมลีกต่ำกว่าอย่างเบอร์มิงแฮม ทั้งหมดทั้งมวล ไม่เคยมีถ้วยไหนเลยที่หงส์แดงจะได้มาง่ายๆ แบบไม่มีดราม่า

นี่ยังไม่รวม “ดวง”​ ของเจอร์เก้น คล็อปป์ เจ้าพ่อรองแชมป์ ซึ่งแฟนหงส์ คงต้องส่งพลังเอาใจช่วยมหาศาลให้เขาสามารถพาทีมเป็นแชมป์ลีกให้ได้ภายใน 3 ปี ตามที่เขาเคยประกาศไว้ ซึ่งถ้าทำได้ ยังเป็นถ้วยแชมป์ใบแรกที่เขาทำได้กับหงส์แดงอีกด้วย

นั่นล่ะครับ คือปัจจัยไม่ธรรมดาที่ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล จะต้องผ่านมันไปให้ได้ หากจะหวังคว้าแชมป์ลีกสูงสุดในชื่อของพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกของสโมสร ซึ่งจากการวิเคราะห์ที่เรากล่าวไป เมื่อสิ้นสุดเดือน ก.พ. อันสุดท้าทาย กับแมทช์ที่เหลืออีก 10 นัดตอนนั้น เราคงจะเห็นภาพต่างๆ ชัดขึ้น ว่าหงส์แดง จะยังคงยืนอยู่บนหัวตารางในตำแหน่งแบบไหนกันแน่

กลับกัน ทีมที่ตามมาอย่างซิตี้ หรือสเปอร์เอง ก็ต้องเจอกับหลากหลายเหตุผลที่ท้าทายไม่แพ้กัน หากจะหวังบี้ลุ้นแชมป์กับหงส์แดงไปจนท้ายฤดูกาล ดังนั้นแล้ว โปรดติดตามกันอย่างใจจดใจจ่อ เพราะความมันของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ มีแววว่าจะมันหยดติ๋งกันจนโค้งสุดท้ายแน่นอน

Text – Rocketseer

ข้อมูล : BBC, Wikipedia, Liverpool FC, Transfermarkt.co.uk, Premierleague.com

เครดิตภาพ : Goal.com ,The Liverpool Offside ,The Transfer Tavern, Sky Sports, Daily Post, Vbet News

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save