ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ถือเป็นการแข่งขันฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอันดับต้นๆของโลกก็ว่าได้ และก็ไม่แปลกที่จะมีบรรดาผู้เล่นมากหน้าหลายตาจากสโมสรชั้นนำในประเทศต่างๆทั่วทวีปยุโรป ต่างแวะเวียนกันมาโชว์ฝีเท้ากันอย่างไม่ขาดสาย
ขณะเดียวกัน มีนักเตะอยู่จำนวนหนึ่งที่สามารถสร้างชื่อให้กับตัวเองในถ้วยยุโรปรายการนี้ แต่น่าเสียดายที่มันกลับเป็นการโชว์ฟอร์มสุดยอดได้เพียงแค่ปีเดียว ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขากลับค่อยๆฟอร์มตก และห่างหายไปจากความทรงจำของแฟนบอล
1. คาร์ลอส อัลแบร์โต้ (ปอร์โต้ 2003/04)
อัลแบร์โต้ แจ้งเกิดกับ ปอร์โต้ อย่างเต็มตัวในยุคของ โจเซ่ มูรินโญ่ โค้ชชาวโปรตุเกส โดยดาวเตะแซมบ้า ถูกจับให้เล่นเป็นเพลย์เมคเกอร์อยู่ด้านหลัง 2 กองหน้าอย่าง เดร์เลย์ และ เบนนี่ แม็คคาร์ธี่ย์ และเขาก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการพา ปอร์โต้ คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาล 2003/04 ได้สำเร็จ
ในฤดูกาลต่อมา อัลแบร์โต้ ในวัย 19 ปี ได้รับการคาดหมายว่า เส้นทางอาชีพของเขาน่าจะสดใส แต่ทุกอย่างมันสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง หลังจากที่ ปีกชาวบราซิล ทะเลาะกับ วิคตอร์ เฟอร์นานเดซ เทรนเนอร์คนใหม่ของ ปอร์โต้ ที่เข้ามาคุมทีมแทน มูรินโญ่ จากนั้น เขาถูกก็ปล่อยตัวให้กับ โครินเธียนส์
หลังจากที่ อัลแบร์โต้ เล่นกับ โครินเธียนส์ เป็นเวลา 2 ฤดูกาล เขาก็ถูกปล่อยยืมตัวไปยัง ฟลูมิเนเซ่ และมีโอกาสกลับเมาเล่นในยุโรปอีกครั้งกับ แวร์เดอร์ เบรเมน แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้มีฟอร์มการเล่นที่สุดยอดเหมือนเดิมอีกแล้ว และในที่สุดชื่อของเขาก็ค่อยๆถูกลืมไปจากความทรงจำของแฟนบอล
2. หลุยส์ อาเดรียโน่ (ชัคตาร์ โดเน็ตส์ค 2014/15)
หัวหอกชาวบราซิล สร้างสถิติเป็นผู้ทำประตูสูงสุดในประวัติศาสตร์ของ ชัคตาร์ โดเน็ตส์ค ได้อย่างยิ่งใหญ่ แต่ฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมของเขาเกิดขึ้นในการแข่งขันศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในช่วงปี 2014/15 ซึ่ง อาเดรียโน่ ซัดในรอบแบ่งกลุ่มไปถึง 9 ประตู เท่ากับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ อดีตปีกซุเปอร์สตาร์ชาวโปรตุเกสของ เรอัล มาดริด
นอกจากนี้ อาเดรียโน่ ยังจารึกชื่อเป็นนักเตะที่ซัดคนเดียว 5 ประตู ในถ้วยยุโรปเกมที่ ชัคตาร์ ถล่ม บาเต้ บาริซอฟ 7-0 ซึ่งเทียบเท่ากับ ลิโอเนล เมสซี่ จอมทัพ บาร์เซนโลน่า ที่เคยทำได้ และจากฟอร์มที่ยอดเยี่ยมนั้น ทำให้ เอซี มิลาน คว้าตัวเขาไปร่วมทีมในช่วงซัมเมอร์ปี 2015
อย่างไรก็ตาม กองหน้าแซมบ้า ไม่สามารถระเบิดฟอร์มเก่งกับการย้ายมาเล่นในแดนมะกะโรนีได้ เขาอยู่กับ มิลาน เพียง 2 ปี และยิงไปเพียง 4 ลูก จากการลงสนามรวมทุกรายการ 33 เกม ก่อนจะถูกปล่อยตัวให้กับสปาร์ตัก มอสโก ในเดือนมกราคมปี 2017
3. เฌอโรม โรเต็น (โมนาโก 2003/04)
โรเต็น และ ลูโดวิช ชูลี่ ถือเป็น 2 ตัวริมเส้นคนสำคัญที่พา โมนาโก เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในช่วงปี 2003/04 และในช่วงซัมเมอร์ ชูลี่ เลือกย้ายไปยัง บาร์เซโลน่า ส่วน โรเต็น ตัดสินใจย้ายไปยัง ปารีส แซงต์ แชร์แมง แม้จะได้รับความสนใจจาก เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ตาม
โรเต็น อยู่ค้าแข้งกับ เปแอสเช นานถึง 6 ซีซั่น แต่ไม่ค่อยมีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันนัก ซึ่งแต่ต่างกับ ชูลี่ ที่ย้ายไปกวาดแชมป์อย่างนับไม่ถ้วนกับ บาร์เซโลน่า
ในปี 2009 โรเต็น ถูก เปแอสเช ปล่อยตัวให้กับ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ยืมไปใช้งาน 1 ฤดูกาล และเขามีโอกาสลงสนามในถ้วยยุโรปกับ “เดอะ ไลท์บลูส์” ไป 5 เกม แต่ไม่สามารถยิงประตู หรือทำแอสซิสต์ ได้เลย
4. ซิโมเน่ อินซากี้ (ลาซิโอ 1999/00)
น้องชายของ ฟิลิปโป้ อินซากี้ แจ้งเกิดกับ ลาซิโอ ด้วยวัยเพียง 19 ปี ในปี 1999 โดยในระหว่างลงสนามนัดแรกที่พบกับ ปิอาเซนซ่า นั้น ซิโมเน่ ก็สามารถซัดประตูได้ทันที พร้อมกับฝากผลงาน 7 ประตู จาก 22 เกมในเซเรีย อา และ 9 ประตู จาก 11 เกม ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปีนั้น
ฟอร์มการเล่นอันสุดยอดของ ซิโมเน่ ที่ได้รับการพูดถึงเกิดขึ้นในเกมยุโรป เดือนมีนาคม ปี 2000 หลังจากที่เขาซัดไปคนเดียว 4 ประตู ในเกมกับ โอลิมปิก มาร์กเซย ซึ่งเทียบเท่ากับสถิติของ มาร์โก แวน บาสเท่น ตำนานกองหน้าชาวฮอลแลนด์
อย่างไรก็ตาม เส้นทางอาชีพของ ซิโมเน่ แตกต่างกับ ฟิลิปโป้ พี่ชายของเขาอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสถิติการทำประตู ซึ่งเขาทำได้น้อยกว่าพี่ชายของตัวเองถึง 2 เท่าตลอดอาชีพค้าแข้ง และในปี 2010 เขาก็ประกาศอำลาสนาม ก่อนจะรับหน้าที่โค้ชทีมเยาวชนของ ลาซิโอ และก้าวขึ้นมาคุมทีมชุดใหญ่ในปัจจุบัน
5. ดิเอโก้ ทริสตัน (เดปอร์ติโบ ลา คอรุนญ่า 2001/02)
จอมถล่มประตูชาวสเปน ถือเป็นกองหน้าสุดอันตรายของ ลา คอรุนญ่า ในช่วงปี 2001/02 และเขายังเป็นของสแลงของบรรดาทีมยักษ์ใหญ่จากพรีเมียร์ลีก หลังซัดประตูใส่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ อาร์เซน่อล ในศึกฟุตบอลยุโรป มาแล้ว
ฟอร์มอันยอดเยี่ยมของ ทริสตัน ทำให้เขาถูกเรียกตัวไปติดทีมชาติสเปนชุดลุยฟุตบอลโลกปี 2002 ทันที อย่างไรก็ตาม เขาโชคร้ายได้รับบาดเจ็บระหว่างทัวร์นาเมนต์จากอาการกล้ามเนื้อต้นขาฉีกขาด และนั่นก็เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เขาฟอร์มตกอย่างน่าใจหาย
ในปี 2006 ทริสตัน ตัดสินใจอำลา ลา คอรุนญ่า และกลายเป็นแข้งพเนจรย้ายไปเล่นกับ มายอร์ก้า, ลิวอร์โน่, เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ก่อนจะกลับไปแขบวนสตั๊ดแบบเงียบๆกับ กาดิซ ในปี 2010
6. ไรอัน บาเบล (ลิเวอร์พูล 2007/08)
เมื่อพิจารณาจากจำนวนสโมสรมากมายที่ บาเบล เล่นมาจนถึงปัจจุบันนั้น มันยากที่จะลืมว่า ตัวรุกชาวดัตช์ เป็นสุดยอดซุเปอร์ซัพของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ในการลงเล่นศึกฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในช่วงฤดูกาล 2007/08
บาเบล ถูก ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือชาวสเปน เปลี่ยนตัวลงมาพลิกเกมในนัดที่ ลิเวอร์พูล ถล่ม เบซิคตัส 8-0 และเขายังโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดในเกมรอบแบ่งกลุ่มที่เอาชนะ โอลิมปิก มาร์กเซย รวมถึงทำประตูปิดท้ายในเกมรอบรองชนะเลิศนัด 2 ที่ “หงส์แดง” ถล่ม อาร์เซน่อล 4-2 อีกด้วย
แม้ว่า บาเบล จะไม่เคยประสบความสำเร็จในอาชีพนักฟุตบอลมากนัก แต่ปัจจุบันในวัย 32 ปี เขายังคงมีควาสุขกับการได้ลงสนามให้กับ กาลาตาซาราย ในลีกตุรกี และยังคงเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติฮอลแลนด์
ภาพประกอบ : fourfourtwo.com, futbolgrad.com, alchetron.com, twitter.com/Lazio, deportivo-la-coruna.com,skysports.com