คุยกับ โจ The Voice หนุ่มคาวบอยตัวจริงและความสำเร็จในฐานะผู้จัดการฟาร์มม้าวัย 24 ปี - The Macho
 
Roral Enfield - Hunter 350
728x150 - Nissan Almera
728x150 - Hunter4
คุยกับ โจ The Voice หนุ่มคาวบอยตัวจริงและความสำเร็จในฐานะผู้จัดการฟาร์มม้าวัย 24 ปี

“สวัสดีครับพี่”  ชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มแบบชายไทยแท้ ตะโกนทักทายมาแต่ไกลเมื่อรถจอดเทียบเข้าสู่ฟาร์มม้า OK. Corral เขาใหญ่ ที่ตกแต่งในสไตล์โรงม้าตะวันตกอย่างแท้จริง

เขาใส่หมวกคาวบอยสีขาวตัดกับผิวสีแทนคล้ำแดด จับเข้าคู่กันกับเสื้อยืดสีกรมเข้มจนเกือบดำและกางเกงยีนส์สีซีดที่มองดูแล้วมอมแมมไม่ต่างจากรองเท้าบูธซึ่งมีคราบดินคราบโคลนเกาะให้เห็นการใช้งานมาอย่างสมบุกสมบัน

ท่ามกลางแสงแดดจ้าช่วงเที่ยงเศษ ๆ จนต้องหยีตาเพ่งมอง รอยยิ้มของเขาเด่นมาแต่ไกล รอยยิ้มอันเป็นมิตรที่แสดงถึงความคิดถึงกับเวลาร่วม 2 ปีที่เราไม่ได้เจอกัน มาวันนี้เด็กหนุ่มคนเดิมที่ฉันเคยรู้จักได้เปลี่ยนไปเป็นชายหนุ่มที่โตเต็มวัย โตทั้งร่างกายและหน้าที่การงาน แต่สิ่งที่ยังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนคือ เลือดคาวบอยที่ไหลเวียนดั่งเช่นวันวาน เพียงแต่นาทีนี้เขาก้าวขึ้นมาเป็นผู้จัดการฟาร์มม้าของบ้านตัวเอง และเป็นนักร้องแนวคันทรีที่เคยขึ้นมายืนบนเวที The Voice Thailand  แม้จะไม่ไปไกลถึงรอบลึกแต่ก็เป็นอีกคนที่ครองใจคนดูไม่น้อย  

ช่วงเวลาไม่ได้เจอ ความสงสัย ใคร่รู้ของฉันสะสมไว้อย่างแน่นอกเมื่อสบโอกาสได้มานั่งคุยกันแบบจริงจัง จึงอยากระเบิดคำถามชวนเขาคุยถึงชีวิตในอีกมุมหนึ่งที่ไม่ได้เห็นกันบนเวที มุมของความสำเร็จในฐานะผู้จัดการฟาร์มม้าที่มีใบประกาศจากวิทยาลัยม้า Canyonview Equestrian College รัฐออริกอน ประเทศสหรัฐอเมริกามาการันตีนั้นส่งผลต่อการเป็นครูสอนขี่ม้าควบตำแหน่งผู้จัดการบริหารฟาร์มม้าอย่างไรบ้าง รวมถึงการสานต่อความฝันทางด้านดนตรีของเขาขณะนี้เดินไปถึงก้าวไหนแล้ว

ชีวิตตอนนี้ทำอะไรอยู่

ตอนนี้เป็นผู้จัดการฟาร์ม ดูแลเรื่องที่ฟาร์ม พยายามเบาหน้างานที่ฟาร์ม ให้น้อยลง ออกไปใช้ชีวิตส่วนตัวให้มากขึ้น เปลี่ยนจากงานอดิเรกอย่างการทำเพลงให้จริงจังมากกว่าเดิม ผมคิดว่าเวลาในชีวิตคนเราก็มีน้อย บางทีมันก็ไปตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตทำงานแลกเงิน สุดท้ายแล้วมันไม่จบ บางทีผมถามตัวเองว่าจุดมุ่งหมาย หรือว่าจุดที่ผมสำเร็จมันคืออะไรมากกว่าเงิน ไม่ใช่เป้าหมาย ไม่ใช่ความสำเร็จ ความสำเร็จที่แท้จริงสำหรับผมคือการทำเพลง ผลิตเพลงออกมา เพราะผมรู้สึกชอบการสร้างสรรค์ รักการทำเพลง แล้วผมคิดว่าสักวันหนึ่งมันอาจจะมีประโยชน์ต่อตัวเองในอนาคต ที่แบบว่าผมสามารถจะทำเพลงเสนอค่าย หรือว่าผมได้ทำเพลงเก็บไว้อาจจะสามเดือนเพลง ปีหนึ่งผมผลิตได้ซักสามถึงสี่เพลงอย่างน้อยก็มีเก็บไว้ก่อน ผมยังไม่ได้นำเสนอ ยังไม่ได้เอาลง YouTube ก็เหมือนกับผมเขียน ผมแต่ง ผมทำไว้ก่อน แล้วถ้ามีโอกาสประจวบเหมาะเมื่อไหร่ ผมถึงจะนำเสนอค่าย หรือถ้ามีใครชอบเพลงผม จะเอาเพลงผมไปร้อง หรืออาจจะเป็นเรื่องลิขสิทธิ์ อาจจะหารายได้อีกทางหนึ่งก็ได้

แต่หลัก ๆ คือ ชีวิตประจำวันทำงานที่ฟาร์ม อาจจะมีบ้างที่ออกไปขับรถเพราะชอบรถมอเตอร์ไซค์ ขับรถเล่นคนเดียว วันหยุดใช้เวลาเคลียร์ตัวเอง มันก็มีคำถามกับตัวเองชีวิตสุดท้ายแล้วพอมันสำเร็จหมด มันจะไปยังไงต่อเหมือนกับทิ้งไปเปล่า ๆ เหรอ มันไม่ใช่ไหม ทำอะไรก็ทำเถอะทำให้เต็มที่ วัยรุ่นสำหรับผม คำว่าวัยรุ่นไม่ได้มีไว้จํากัดอายุคน มีไว้จำกัดวุฒิภาวะคนมากกว่าผมรู้สึกว่าผมมีการงาน ผมมีสิ่งต้องทำ ผมมีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบประสบความสำเร็จในชีวิตมันเสร็จไปหมดแล้วผมไม่ได้อยากเที่ยว ผมไม่ได้อยากไปไหนมาไหน ผมไม่ได้อยากไปนั่งร้านเหล้าเลยนอนอยู่บ้านเฉย ๆ ดูหนัง คือเหมือนผมใช้ช่วงชีวิตในอีกวัยหนึ่งไปแล้ว หลายคนก็ถามไม่คิดจะไปเปิดหูเปิดตาโลกภายนอก เหรอ ผมก็จะบอกคนอื่นว่าผมเจอมาเยอะแล้ว ผมเจอมาเยอะกว่าที่คนอื่นเจอ สังคมที่ผมอยู่งานบริการมันเจอคนละหลายระดับมาก ทำให้ผมเห็นว่าบางอย่างก็ไม่น่าออกไปเจอขนาดนั้น ถึงผมไม่ต้องไปออกไปหาแต่ก็มีคนเข้ามาหาผมประจำอยู่แล้ว นี่คือความคิดที่ผมคิดได้

คนอื่นคิดว่าการไป The Voice ของโจไม่ได้ถึงฝั่งฝันอย่างที่ควรเป็น แต่สำหร้บโจนั่นคือการจบความฝันของตัวเองแล้วหรือเปล่า

ฝันผมสำเร็จตั้งแต่ผมกรอกใบสมัครแล้วครับ เพราะผมไม่ได้บอกว่าผมจะเป็นแชมป์นิ ผมแค่บอกว่า ผมจะสมัคร The Voiceแล้วผมก็เข้าไปได้ด้วยครับ เนี่ยผมสำเร็จไปแล้ว คือผมเข้าผ่านเข้ารอบไป ครั้งหนึ่งได้รู้นะว่าการแข่งขันเป็นยังไง ไม่ได้แปลว่าครั้งหนึ่งกูเคยชนะมาแล้ว ไม่ใช่ แต่ครั้งหนึ่งฉันเคยสมัคร The Voice ฉันเคยอยากเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรายการ เนี่ยคือฉันประสบผลสำเร็จแล้ว

คนเชียร์ให้ไป The Voice U.S.

คนอื่นอาจจะอยากให้ผมไป The Voice U.S. แต่ผมก็มองไปอย่างนึง คือมันอาจจะไม่โกอินเตอร์ขนาดนั้น แต่คือต้องอ้างอิงในเรื่องของการที่ผมไปติด The Voice Global หรือ The Voice ของสากลทั่วโลกที่หยิบจับมา คืออันนั้นมันก็ท็อปสุดแล้วว่าครั้งหนึ่งเคยได้ไปติดอันดับ 7 ของโลกใน The Best Blind Audition คือโชว์ที่ดีที่สุดในรอบ Blind Audition คือผมเคยไปติดระดับโลกแล้วรู้สึกว่ามันไม่จำเป็นต้องไปถึง U.S. หรอก แต่ตอนนี้คือผมเอาความเป็นไทยของผมไปบอกทุกคนว่า คนไทยก็ร้องสำเนียงฝรั่งร้องสำเนียงอเมริกันได้ชัดแจ๋วเลยด้วยซ้ำไป ไม่งั้นไม่ไปติดอันดับ 7 หรอก ก็ไม่ได้ว่าชมตัวเองนะ แต่ผมก็รู้สึกว่าผมภาคภูมิใจในที่ผมพาชาติเข้าไปถึงจุดนั้นได้ แล้วผมก็เพิ่งมาดูย้อนหลังอีกว่าก็มีวัดกันอีก The Best Blind Country Audition ก็คือเป็น Top Country ของ Blind Audition ผมอยู่อันดับ 2 เป็นรอง USA แค่หนึ่ง เป็นรองออริจินอลเขาแค่อันดับเดียวผมรู้สึกว่าคนไทยจริงๆ ไม่ได้ด้อยนะ คนไทยมีความสามารถมากกว่าผมอีกก็มีอีกเยอะแยะ และสมควรจะใช้ความสามารถของตัวเองเอามานำเสนอให้โกอินเตอร์ได้ ผมไปถึงระดับโลกได้ ผมสุดแล้วผมรู้สึกเลยว่ามันท็อปไปแล้วความฝันเรา  ผมเคยไปติด Global มีวีดีโอให้คนอื่นดู มีวีดีโอได้เอาไปโชว์ว่า เห้ย ครั้งหนึ่งกูเคยไปติดมาแล้วนะ ครั้งหนึ่งผมเคยผ่านจุดนี้มาแล้ว ผมมีวีดีโอให้ลูกผมดู ลูกหลานผมดู ครอบครัวผมดู ผมเคยทำได้ ผมเคยทำความฝัน ผมสำเร็จมาแล้วนะ

คิดว่าตัวเองเป็นคนจุดประกายเพลงคันทรีในประเทศไทยไหม

ก็อาจจะมีส่วนครับ ถ้ามันเป็นไปได้อย่างที่ทุกคนคิด คือ ตัวผมทำให้คำว่าคันทรีมันบูมขึ้นก็จะดีใจมากๆ มันคือความภาคภูมิใจส่วนตัวเลยที่ยกระดับคำว่าคาวบอยหรือเพลงคันทรีให้ดูโกอินเตอร์ไปถึงระดับต่างประเทศได้ มันเป็นอะไรที่ผมภูมิใจสุดๆ ในการนำเสนอว่าคนไทยก็มีโมเม้นต์ของคำว่า Real Country หรือ Real Cowboy คือเป็นอะไรที่แบบว่า ว้าว..เซอร์ไพรส์มากครับ

ใช้เวลานานไหมในการค้นพบว่าตัวเองคือคาวบอย

ไม่นานครับ ด้วยความที่ธุรกิจที่บ้านทำมาสามรุ่นแล้ว ตั้งแต่คุณปู่ รวมมาถึงคุณพ่อ แล้วก็รวมมาถึงผม มันจึงเหมือนกับอยู่ในสายเลือดตัวเองไปโดยปริยายเลย ส่วนหนึ่งผมอาจจะเห็นมาตั้งแต่เด็กแล้วก็มีแรงจูงใจที่คุณพ่อมักพาไปที่ฟาร์มม้าอยู่ไปบ่อยๆ พาไปเห็นวิธีการทำงาน วิถีชีวิตที่มันวนลูปอยู่อย่างนั้น โตมามันก็อาจจะเกิดความเคยชิน เกิดเป็นความรัก แล้วผมก็ชอบมันเป็นไปโดยปริยายทำให้รู้สึกเองว่าไม่ใช่ผมต้องเป็นคาวบอยนะแต่ผมอ่ะคือคาวบอยตัวจริง (ยิ้ม)

เจออะไรบ้างหลังจากเข้ามาทำงานเป็นผู้จัดการฟาร์มม้าเต็มตัว

จากตอนแรกได้แค่ช่วยที่บ้านเฉย ๆ ยังไม่ต้องแบกรับอะไรมาก ตอนนี้เหมือนมันต้องแบกรับมากขึ้นมันก็มีอะไรหลายๆอย่าง บางทีมันต้องรับมือเรื่องหลักที่สุดเลยต้องรับมือกับคน นั่นคือปัญหานึง คือคนที่อ่อนต่อโลกหรือไม่อ่อนต่อโลกเจอประสบการณ์มามากน้อยแค่ไหนคุณเจอคนหลายรูปแบบขนาดไหน คนเป็นตัวปัญหา คนเป็นตัวริเริ่มปัญหาและหลายอย่างทั้งดีและไม่ดี ธุรกิจดำเนินได้ด้วย มันต้องสร้างคอนเนคชั่นส่วนตัวให้มากขึ้น

เคล็ดลับในการสร้างคอนเนคชั่นคืออะไร

ซื่อตรงผมคิดว่าการซื่อตรง เวลาที่ผมทำธุรกิจกับใครซื้อขายหรือให้บริการผู้อื่นซื่อตรงสุจริตไม่มีหน้ามีหลังเรื่องเงินก็คือเรื่องเงิน สำหรับเรื่องความซื่อสัตย์มันมีความจริงใจอยู่แล้ว อาจจะเป็นเรื่องความสุจริตของคน รสนิยมเข้ากันได้ไหมไปในทิศทางเดียวกันมีความคิดเห็นไปในทางเดียวกันเป็นคนคล้าย ๆ กัน ทำธุรกิจสะดวก ต้องจับจุดให้ถูกด้วยจะเอาอะไรจากคน ๆ นั้น เข้าหาเป็นเพื่อนหรือว่าทำธุรกิจ ถ้าเจอคนที่ดูท่าแล้วทำธุรกิจด้วยยากก็ยาก คบหาอะไรยากก็ปฏิเสธดีกว่า

แล้วปฏิเสธยังไง

ถ้าปฏิเสธผมก็เป็นคนตรง ๆ สมมติว่ามีลูกค้าก็แนะนำว่าลองไปร้านนี้ดูไหมละนี่อาจจะไม่ใช่สิ่งที่คุณตามหาผมอาจจะให้สิ่งที่คุณต้องการไม่ได้แบบนั้น

ทำไมเราต้องศึกษาเรื่องม้าหรือจำเป็นต้องรู้ในเมื่อทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากม้าแล้ว

ผมมองว่ามันอาจจะไม่ได้ใช้ม้าเหมือนเมื่อก่อนใช่ไหม ใช่ แต่อย่าลืมว่าปัจจุบันคนเรายังใช้ม้าควบคู่กับทางด้านการกีฬาหรือว่าถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง ชาวบ้านเขาอาจจะใช้ม้าในการต้อนวัวหรือว่าอาจจะประหยัดการเดินทางโดยที่ไม่ต้องใช้น้ำมัน ไม่ต้องเปลืองเชื้อเพลิง เขาอาจจะใช้ม้าในพื้นที่ไร่หรือว่าอะไรก็ตามมา ถือว่ามันยังมีการใช้อยู่ในบ้านเรา โดยเฉพาะสังคมไทยปัจจุบันมีการยอมรับเรื่องการขี่ม้าที่พัฒนาในด้านสากลเข้าสู่การกีฬาแบบพวกเอเชียนเกมส์เยอะมากขึ้นจนทำให้รู้สึกว่าการที่ไปเรียนมาอาจจะช่วยพัฒนาศักยภาพของคนในประเทศหรือเยาวชนที่สนใจเกี่ยวกับกีฬาการขี่ม้าให้มีทักษะตรงตัวและมีมาตรฐานเท่ากับเมืองนอกได้ไม่ใช่เพียงแค่ลองงู ๆ ปลา ๆ ขึ้นมา เหมือนกับผมสามารถทำมันให้มีคุณภาพ ที่มันสมควรจะเป็นจะได้โดยไม่อายชาติอื่น

ก่อนไปเรียนหลักสูตรสอนขี่ม้าที่อเมริกากับหลังไปเรียนมาแล้วรู้สึกแตกต่างอย่างไร

ผมมีวิธีมีหลักการสอนที่ถูกต้อง เพราะผมจะสอนตามหนังสือทั้งหมด สอนตามหนังสือ Step by step ไม่มีการข้ามข้ามขั้นตอนและมันรวมไปถึงเรื่ององค์โดยรวม คือคำว่า ความปลอดภัย เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญบ้านเราอาจจะไม่เข้าใจ พวกเรามักคิดว่าคนไทยมีศักยภาพเท่ากับเมืองนอก ใช่ คนไทยเก่ง ทำอะไรก็ทำได้หมดจริงๆ เป็นเรื่องจริงที่ผมยอมรับว่าผมเห็นมานานมากแต่พอให้ถึงขั้นตอนในการ Explain หรืออธิบายคนไทยไม่สามารถอธิบายและเรียบเรียงมันออกมาได้ เมื่อถึงวิธีการนำเสนอคนไทยนำเสนอไม่เก่งเพราะเรียงขั้นตอนไม่ถูกว่า หนึ่งไปสอง สองไปสาม สามไปสี่ อย่างไร  คือเราเรียนไม่ได้ เขาอาจจะหยิบขั้นตอนที่ห้า มาพูดก่อนที่จะพูดหนึ่งด้วยซ้ำ การที่ไปเรียนมาจึงเป็นการพัฒนาให้มันต้องเป็น Step by step คือการวางพื้นฐาน เหมือนต้องเรียนกอไก่ก่อนที่จะไปเรียนการผวนคำไปเรียนการเพิ่มคำอะไรอย่างนี้ มันสมควรจะเป็นไปตามรูปแบบนี้ การศึกษาเป็นเรื่องที่สังคมไทยยอมรับและประกาศนียบัตรเองก็เป็นเรื่องที่สังคมไทยยอมรับว่ามีแหล่งอ้างอิง

สามารถพูดได้ไหมว่ามันได้ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติมารวมกัน

ใช่ อย่างถูกต้องด้วยนะ ต้องเน้นคำว่าอย่างถูกต้องตามหลักการเพราะว่าบ้านเราจริง ๆ แล้วเมื่อเทียบกับเมืองนอก เรายังใช้ม้าน้อยกว่าเมืองนอกมาก เมืองนอกมีระยะการใช้ม้านานกว่า บ้านเราใช้แค่วัวกับควายในการลากจูงเกวียนหรือว่าอะไรก็แล้วแต่ ฉะนั้นเราถึงต้องยอมรับวิชาชีพของเมืองนอกที่จะนำเข้ามาเพราะว่าเราก็ปฏิบัติตามเขาอยู่ สมควรจะมีคนที่รู้ให้จริงอยู่ในประเทศ

การที่โจเลือกไปเรียนวิทยาลัยม้าเฉพาะทางไปเลยเป็นการบอกว่าโจเห็นต่างเรื่องค่านิยมการศึกษาในแบบระดับอุดมศึกษาของบ้านเราไหม

ไม่นะ ผมมองว่ามันเป็นเส้นทางที่ลัดและสั้นที่สุด คนเราจริงๆจะประสบผลสำเร็จได้คุณต้องดูเลยว่าสุดท้ายแล้วคุณจะไปเป็นอะไรแล้วคุณจะเอาไอ้สิ่งที่คุณเป็นมาสร้างประโยชน์อะไรให้กับสังคมให้กับส่วนรวมให้ได้มากที่สุด ทำไมถึงต้องไปเรียนเรื่องม้า เพราะอย่าลืมว่าจบออกมา คนจบวิศวะมาก็เยอะแล้ว คุณจะจบนิเทศ มันมีจนเกลื่อนไปหมด แต่สิ่งที่เราเป็น ทำไมเราไม่เอาความสามารถที่เรามี เราชำนาญมาใช้และพัฒนาต่อยอดให้ได้มากขึ้นอีก คือผมรู้สึกว่าปริญญาไม่ปริญญา จริง ๆ แล้วมันไม่เกี่ยว สำคัญที่สุดคือผมไม่ใช่คิดว่าผมจะมีอะไร  สำคัญคือผมจะสร้างอะไรจากสิ่งที่ผมมีมากกว่า ผมเน้นคำนี้ว่าไม่ใช่จะมีอะไรจากสิ่งที่กำลังจะสร้างนะ คุณจะสร้างอะไรจากสิ่งที่คุณมีอยู่ เพราะผมว่าคนเราจะประสบความสำเร็จได้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใบกระดาษใบเดียว ผมว่ามันขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราไปเรียนรู้ไปเห็นจริงปฏิบัติจริง เรามานำเสนอได้จริงเพราะเราผ่านมาจริงๆไม่ใช่เพียงแค่เรานั่งเรียนทฤษฎีอยู่ในห้องหรือเราเรียนจากหนังสือ เราไม่ได้ปฏิบัติ เราไม่ได้ทำ ผมรู้สึกว่ามันต้องสิ่งที่เราถนัดและจะเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้มากที่สุด เนี่ยสำคัญตรงนี้แหละ และสำคัญคือมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองทำจุดสูงสุดของชีวิตเราคือทำอะไรที่คุณมีความสุขแค่นั้นเอง

ในวัยเด็กโจเคยแข่งขันขี่ม้าด้วยใช่ไหม ทำไมถึงเลือกเดินออกจากเส้นทางการแข่งขันมาเป็นครูสอนขี่ม้าแทน

ใช่ครับ เขาเรียกว่ากีฬา Barrel Racing หรือการกีฬาขี่ม้าอ้อมถัง ปัจจุบันก็เป็นที่นิยมในการขี่แบบ western ปัจจุบันก็ขึ้นอิงไปกับสมาคมขี่ม้าแห่งประเทศไทยไปละเป็นกีฬานึงที่ถูกยอมรับแต่ว่ามันก็ยังไม่ได้เป็นสากลมากนัก ณ ช่วงเวลานั้นมันก็เป็นประสบการณ์สมัยเด็กที่ผมรู้สึกว่ามันก็ไม่ใช่จุดสุงสุด เป็นแค่ความชอบนะช่วงนั้นคุณมันสนุก แต่จริงๆแล้วพอผ่านมาในช่วงวัยนึง ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมสร้างแล้วผมทำดีที่สุดคือการสอนไม่ใช่การไปแข่งขัน ศึกษาแล้วนำมาเผยแพร่ไม่ใช่แค่การยังไปแข่ง ยังไปวัดอยู่เลยว่า ไอ้นั่นเก่งกว่าไอ้นี่เก่งน้อยกว่า แต่ไม่ได้รู้สึกว่าแข่งขันไม่ได้นะ แค่มองว่ามันเอามาเปรียบเทียบกันยาก

ในฐานะคนที่แข่งกับในฐานะคนที่ฝึกมันต่างกันไหม

ผมมองไปในเรื่องของจุดมุ่งหมายมากกว่า สำคัญว่าจุดมุ่งหมายของคุณน่ะคืออะไร คือแข่งก็อาจจะอยากได้รางวัลฉันอยากจะเป็นที่หนึ่ง อยากจะเป็นที่สอง สำหรับผมคนที่ฝึก ฝึกเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ การที่ผมใช้ม้าเพื่อสอนคนจึงต้องมีจุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดเพื่อไม่เปลืองต่อทรัพยากรโดยรอบ ๆ ทั้งเรื่องกำลังเงินหรือว่าเรื่องค่าใช้จ่าย  ฝึกม้าก็ใช้ระยะเวลาในการฝึก แข่งม้าคุณก็ต้องเอามาซ้อมในการแข่งขัน มันใช้เวลาทุกอย่าง ที่นี้คุณจะใช้เวลาที่คุณมีอยู่คุ้มค่าได้มากขนาดไหน อย่างผมรู้ว่าผมต้องเทรนม้าเพื่อสอนคน ผมก็จะทุ่มเทเวลาการเทรนม้าตัวนั้น ๆ เพื่อเอาไว้สอนเลย ผมรู้ประโยชน์มันคืออะไร ถ้าผมยังไปนั่งเพื่อจะหวังถ้วยถ้วยเดียวสำหรับผมมองว่ามันไม่จบ มันจะมีอีก 10 ถ้วยก็ไม่พอหรอก แต่ว่าสิ่งที่สอนคนนั้น สิ่งที่มันได้กลับมาคือความแฮปปี้ ความสุขของคนอื่นและรอยยิ้มพวกนี้เป็นสิ่งที่ผมมองว่ายิ่งยิ้มมากยิ่งมีความสุขมากไม่ใช่ได้ถ้วยมากมีความสุขมาก

แล้วเคยฝันอยากเป็นอย่างอื่นไหมนอกจากครูสอนขี่ม้าและนักร้อง  

ก็อยากเป็นศิลปิน แต่คำว่าศิลปินมันไม่ได้แปลว่าผมจะร้องเพลงเพราะกว่าใคร ไม่ได้แปลว่าผมจะต้องเก่งกว่าใคร สมัครรายการแข่งชนะที่หนึ่งเลยไม่ใช่ การเป็นศิลปินคือ ฉันชอบเล่นดนตรี ฉันชอบอิสระ ฉันชอบอยากทำในสิ่งที่ตัวเองทำ นี่คือคำว่าศิลปิน ศิลปินคำนี้มันไม่ใช่แปลว่าการร้องเพลงหรือเพียงแค่การวาดรูปมันเป็นการสร้างสรรค์อะไรให้กับโลกนี้ สำหรับผมความแปลกใหม่คือคำว่าศิลปิน ความเป็นศิลปินอยู่ในตัวทุกคนแหละแต่คุณจะเรียกว่าอะไรมันอยู่ที่คุณนิยามตัวคุณเอง

ชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้เป็นชีวิตที่วาดฝันไว้หรือเปล่า

ใช่ครับ ผมประสบผลสำเร็จมานานแล้ว ผมกล้าพูดว่าตัวเองเป็นคนที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่เพราะผมรวยมีเงินไม่ใช่เพราะผมมีบ้านมี ที่ดิน มีฟาร์มม้า ไม่ใช่ ประสบความสำเร็จคืออยากเป็นในสิ่งที่เป็น พอใจในสิ่งที่มีแล้วก็ใช้ชีวิตมีความสุขนั่นสิคนที่ประสบความสำเร็จ คือมันพอใจในตัวเอง อย่าไปทะเยอทะยานมาก เดี๋ยวมีเงินเป็นสิบล้านจะซื้อที่ดินตรงนั้นจะสร้างบริษัทตรงนี้ ไม่ใช่ ความพอใจในสิ่งที่มีคือผมชอบขับรถมอเตอร์ไซค์ ผมมีมอเตอร์ไซค์ไว้ขับนี่หว่า ผมชอบเป็นคนเล่นดนตรี ชอบเป็นคนร้องเพลง ผมชอบแต่งเพลง ผมทำผลงานเพลงของตัวเองออกมาแล้วตอนนี้มันมีแล้ว ผมชอบขี่ม้า ชอบสอนคนขี่ม้าฉันก็เป็นครูสอนขี่ม้าอยู่ตอนนี้คือมันประสบผลสำเร็จไปแล้ว

การเป็นผู้จัดการฟาร์มม้าถือว่าเป็นความฝันของโจที่ทำสำเร็จไปแล้วใช่ไหม แต่การทำเพลงเป็นความฝันที่โจต้องการให้มันสำเร็จอีกอย่างหนึ่ง

ส่วนตัวนะชีวิตมันเลยคำว่าฝันมานานละ เลยมาไกลมาก จนแบบว่า มันเต็มไปทุกอย่าง จนบางทีมีความเบื่อในชีวิต ไอ้เพลงเนี่ยมันก็ไม่เชิงเป็นฝันหรอก แต่มันก็เป็นสิ่งที่รักมันทะลุคำว่าฝัน เพราะผมทำไปแล้วไง บางคนก็บอกว่าเนี่ยรถในฝันแต่คุณต้องไปซื้อมันนะ แต่ผมเคยฝันว่าอยากประกวด The Voice ผมอยากเป็นคาวบอยที่ประกวด The Voice มีเพลงของตัวเอง ที่พูดมาผมมีหมดเลย ผมทำมาหมดแล้ว ผมไม่ได้บอกว่า ผมอยากมีเพลงของตัวเอง ตอนนี้ผมมีเพลงมาแล้วสามเพลง แต่อีกอันนึงที่มันยังไม่ได้ทำมันถึงจุด ผมยังไม่ให้คนอื่นฟังเพลงผม นี่สิโจทย์ ยังไม่มีคนอีกหลายๆ คน ที่ได้มีโอกาสฟังเพลงผม แล้วต้องมาตอบโจทย์ให้ถูกว่าทำยังไงเขาถึงจะได้ฟัง เผื่อจะมีใครชอบสนใจเพลงของผม

ถือว่างานเพลงเป็นงานประจำอีกอย่างหนึ่งของโจไหม

เอาจริง ๆ ก็ยังไม่ใช่ แต่ผมก็คิดว่าวันนึงอย่างที่บอก ผมคิดว่ามันจะต้องเป็นประโยชน์ ในอนาคตผมอาจจะสละเวลา ในช่วงเวลาว่างของผม ไปทำมันหรืออาจจะเรียกว่างานอดิเรกก็ได้ แค่สร้างสรรค์แล้วก็เขียน แล้วก็แต่งเพลงไว้ มีโอกาสก็เข้าห้องอัด

แรงบันดาลใจในการแต่งเพลงคืออะไร

ส่วนใหญ่มาจากอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดอะไรที่ฝังใจ เพลงที่แต่งส่วนใหญ่จะเป็นเพลงรัก เพลงอกหักแต่งด้วยทำนองยุค 90 ยุคนั้นจะฟังได้ง่าย ให้อารมณ์แบบว่า หนุ่มกะลา เสือ ธนพล มันฟังง่ายมาก ไม่มีอะไรที่ซับซ้อนมันเกิดจากความคิดความรู้สึกล้วน ๆ ผมก็ยังไม่เคยเขียนเพลงที่มาจากความท้อแท้ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องรัก ๆ ชอบ ๆ เพราะผมคิดว่าเข้าถึงได้ง่ายสุดแล้ว บรรดาเพลงที่ทำมาคำว่าเพลงรักง่ายที่สุด คนเข้าถึงง่ายที่สุด

ผลตอบรับซิงเกิลแรกเพลง เรียกแท็กซี่ เป็นอย่างไร

ผลตอบรับมันก็ในระดับนึงนะ อย่างผมเริ่มทำครั้งแรกโดยไม่มีค่าย ไม่มีคนชี้แนะ ได้ยอดวิวมาทั้งหมดแสนสาม แต่อย่าลืมว่าเป็นเพราะว่าวอลลุ่มผมยังเล็ก การกระจายค่อนข้างแคบทำให้คนเห็นน้อย แต่ถ้าพูดถึงจุดเริ่มต้น มันก็ถือว่าเยอะกว่าหลายๆคน ไม่ได้มีค่าย ไม่ได้มีคนช่วยกระจาย แต่มันก็ถือว่าเป็นผลผลิตออกมา ซึ่งก็ค่อนข้างเหนื่อยพอสมควรเพราะว่าผมเป็นคนทำตัวโปรดักส์เอง เขียนเพลงเอง อัดเอง พอมาถึงบท MV ผมก็เป็นผู้กำกับเอง เป็นผู้แสดงเอง มันซับพอร์ตเองทุกอย่าง แล้วผมรู้สึกว่าบางทีแล้ว มันอาจจะไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่เยอะ ถ้าไปเทียบกับอีกหลายๆงานที่เขาทำมาแต่คุณภาพดีกว่านี้ แต่ผมรู้สึกว่ากว่าจะออกมาได้ ก็คือเบ็ดเสร็จแล้ว มันค่อนข้างเหนื่อยและเปลืองตัวมาก เปลืองกำลังเงิน ผมถึงคิดไว้ว่าถ้าผมเขียนเพลงเองได้ ผมน่าจะตุนเพลงไว้ก่อนไหม แล้วอย่างที่บอกถ้าประจวบเหมาะเมื่อไหร่นำเพลงเสนอค่ายให้มีคนมาลงทุนให้ ผมแค่ออกสมองออกแรง ส่วนไอ้เรื่องกำลังทุนให้มีคนมาซับพอร์ตตรงนี้ดีกว่าโดยที่ผมไม่ต้องไปเหนื่อยอะไรขนาดนั้น

ครอบครัวมีความคิดเห็นอย่างไร

ก็มองว่ามันดูไปไม่ไกล ผมคิดว่าผมอายุแค่นี้ เงินเดือน 15,000 ผมคิดว่ามันน้อยไป ผมคิดว่าผมหาอะไรทำได้มากกว่านี้ ผมมีศักยภาพมีมันสมองมาช่วย มาเสริม ใช้ความคิด ใช้ทักษะให้มาก เหมือนผมทำงานเพิ่มเป็นสองเท่า ลองใช้มันสมอง ใช้เวลาว่าง ผมมาทำเพลงสิ่งที่ผมถนัด มันอาจจะเป็นเม็ดเงินขึ้นมาได้บ้าง ผมวางแผนไว้แบบนี้ งานฟาร์มม้ามันตายตัวแน่ แต่ผมคิดว่าผมอยากเป็นสิ่งที่ผมอยากทำจริงๆ ไม่ได้คิดที่จะทำเงินแต่ว่ามันเป็นสิ่งที่ผมรัก ผมอยากเป็นศิลปินแล้วอยากเขียนเพลง ผมอยากมีเพลงของตัวเอง สักครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ผมสามารถทำอะไรกับมันได้

ตอนนี้โจเหมือนก้าวขึ้นมาเป็นไอดอลให้กับใครอีกหลายคน แล้วตัวโจเองมีใครเป็นไอดอลไหม

เขาชื่อคุณธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ผู้บริหารใหญ่ของสายการบินแอร์เอเชีย ถ้ามีศักดิ์ก็เป็นเหมือนลุงผมเลยคือค่อนข้างสนิทกัน ผมก็เคยไปอ่านเรื่องราวของลุงโจนะมา เขาชื่อโจเหมือนกัน คือเขาเริ่มจากศูนย์ไม่มีอะไร ไม่ได้อยู่ดี ๆ รวยมาจากไหนแต่เขายอมทิ้งทุกอย่างเพื่อทำอะไรแปลก ๆ บ้า ๆ ที่คนอื่นไม่ทำ ไม่กล้าเสี่ยงแต่ก็ประสบผลสำเร็จได้ด้วยความตั้งใจของเขา และผลสำเร็จที่เขามีอยู่ก็เอามาให้โอกาสกับคนอื่นอย่างน้อยก็ให้กับผม กับครอบครัวผม หรือให้โอกาสใครอีกหลาย ๆ คนที่ทำผมรู้สึกว่า แมน มันคือคุณมีแล้วคุณแบ่งปัน แมนไม่แมนคือคุณเปิดกว้างให้คนอื่นมากขนาดไหน คุณให้การช่วยเหลือคนอื่นนี่สิคำว่าลูกผู้ชายของจริง ผมมองว่าเรื่องการให้โอกาสเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ผมก็เลยอยากให้โอกาสคนอื่นเหมือนกับที่ผมเคยได้รับจากไอดอลของผมมา

โจต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร

แน่ ๆ คือเป็นครูสอนขี่ม้า ส่วนนักร้อง นักดนตรี ที่แต่งเอง ร้องเองก็พยายามจะทำต่อไปเรื่อย ๆ เพราะมันคือความรักมันคือความสุขของผม

Suthamat
The girl with flowers tattoo

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save