ในที่สุดก็ได้มีการเปิดตัวออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดจากทาง Apple อย่าง iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max โดยภายในงานเปิดตัวก็ต้องบอกเลยว่ามีการเผยให้เห็นสิ่งใหม่ๆที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนภายใน iPhone ที่ผ่านๆมา และแน่นอนว่าราคาเริ่มต้นเรียกได้ว่าทำให้ใครที่ถือ iPhone XR อยู่ในตอนนี้น่าจะตัวสั่นได้เลยเพราะราคาถูกลงกว่าเดิมถึง 5,000 บาท
มาเริ่มกันที่ตัวของ iPhone 11 ตัวเครื่องจะมาพร้อมกับหน้าจอ 6.1 นิ้ว พาเนล LCD แบบ Liquid Retina Display แบบเดียวกับที่อยู่ภายใน iPhone XR นั้นเอง
สิ่งที่เปลี่ยนไปภายใน iPhone 11 ที่เราเห็นได้ชัดเจนนั้นก็คือกล้องหลังที่มีการเพิ่มกล้องขึ้นมาให้อีก 1 ตัวสำหรับการถ่ายภาพแบบ Ultra Wide โดยเฉพาะ เลนส์หลักมาพร้อมกับความละเอียด 12MP f/1.8 (Wide) ขณะที่เลนส์อีกตัวความละเอียด 12MP f/2.4 (Ultra Wide 120 องศา) ซึ่งเลนส์ Ultra Wide เป็นสิ่งที่หลายๆคนรอคอยกันมานานมากแล้ว
หนึ่งในฟีเจอร์ที่ตัวของ iPhone 11 มีมาให้ใช้งานด้วยนั้นก็คือ Night Mode ที่ทำให้สามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้สวยและดียิ่งขึ้น เท่านี้ก็หมดปัญหาใช้ iPhone ถ่ายภาพในที่มืดได้เลย ในส่วนของการถ่ายวิดีโอสามารถใช้งานได้สูงสุดที่ 4K 60fps
กล้องหน้ามาพร้อมกับความละเอียด 12MP พร้อมกับฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง Sloefies ที่เราสามารถใช้งานกล้องหน้าเพื่อที่จะถ่ายวิดีโอแบบ Slow Motion ได้นั้นเอง
ในส่วนของแบตเตอรี่ตัวของ iPhone 11 มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 3110mAh รองรับการใช้งาน Fast Charge 18W ที่สำคัญทาง Apple ได้บอกว่ารุ่นนี้จะใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนานกว่าเดิม 1 ชั่วโมง อีกทั้งยังได้มาตรฐาน IP68 ลงน้ำลึก 2 เมตรได้นานครึ่งชั่วโมง
ต่อมาเรามาดูกันที่ iPhone 11 Pro และ iPhone Pro Max กันบ้าง ทั้งสองรุ่นจะมาพร้อมกับหน้าจอแบบ OLED แบบ Super Retina XDE มีขนาดหน้าจอ 5.8 นิ้ว และ 6.5 นิ้วตามลำดับ ตัวจอมีการเคลือบสารกันน้ำมาให้ด้วย รองรับการแสดงผลภาพแบบ HDR10
ในส่วนของกล้องได้มีการปรับปรุงออกมาให้ดียิิ่งขึ้นด้วยการเพิ่มกล้องเข้ามาอีก 1 ตัวมาพร้อมกับกล้องหลักความละเอียด 12MP f/1.8 (Wide) + 12MP f/2.0 (Telephoto) + 12MP f/2.4 (Ultra Wide 120 องศา) มีฟีเจอร์การถ่ายภาพหลักๆแบบเดียวกับที่มีใน iPhone 11
แต่สิ่งที่ได้มีการพูดถึงยิ่งขึ้นไปอีกนั้นก็คือสามารถที่จะใช้งานกล้องทั้งหมด 4 ตัว ในการถ่ายวิดีโอได้พร้อมกัน ทำให้เราได้มุมมองภาพที่หลากหลายนั้นเอง แต่จำเป็นที่จะต้องใช้งานผ่านแอปพลิเคชัน Filmic Pro ที่จะมีการปล่อยออกมาในเร็วๆนี้
ในส่วนของแบตเตอรี่ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max จะมาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 3190mAh และ 3500mAh แน่นอนว่าทาง Apple ได้มีการเคลมเอาไว้ว่าจะสามารถใช้งานเครื่องได้ยาวนานขึ้น 4 และ 5 ชั่วโมงจากรุ่นก่อน รองรับการใช้งาน Fast Charge 18W รองรับมาตรฐาน IP68 ลงน้ำลึก 4 เมตรได้ครึ่งชั่วโมง
เรามาดูในสิ่งที่ทั้ง 3 รุ่นมีเหมือนกันบ้าง โดยทุกรุ่นจะมาพร้อมกับการใช้งานชิปเซ็ต A13 ที่ทาง Apple ได้นำผลการทดสอบออกมาให้เราได้เห็นกันและต้องบอกว่าเป็นอะไรที่น่าประทับใจเป็นอย่างมากเพราะมันแซงหน้าชิปเซ็ตทุกรุ่นที่มีอยู่ในตอนนี้เลยก็ว่าได้ แน่นอนว่าในส่วนของชิปกราฟิกก็ถือว่าทำออกมาได้ดีที่สุดในตลาดสมาร์ทโฟนตอนนี้
ในส่วนของราคาของทั้ง 3 รุ่นจะมีราคาเริ่มต้นของ Apple ไทยตามนี้ iPhone 11 ราคา 24,900 บาท ตามมาด้วย iPhone 11 Pro ราคา 35,900 บาท และสุดท้ายเป็นตัวของ iPhone 11 Pro Max ราคา 39,900 บาท โดยจะมีกำหนดการเปิดให้สั่งซื้อล่วงหน้าในวันที่ 13 กันยายนนี้ และจะเริ่มมีการวางขายจริงวันที่ 20 กันยายนนี้ อย่างไรก็ตามในประเทศไทยยังไม่มีการประกาศออกมาว่าจะเริ่มมีวางขายเมื่อใด
ที่มา – ThisIsGame