การเดินทางครั้งใหม่ของลูกไม้ใต้ต้น “นิว-ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์” - The Macho
 
Roral Enfield - Hunter 350
728x150 - Nissan Almera
728x150 - Hunter4
การเดินทางครั้งใหม่ของลูกไม้ใต้ต้น “นิว-ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์”

แม้เรื่องราวของ “ช้างศึก” ฟุตบอลทีมชาติไทย ในระยะหลังจะไม่ค่อยเป็นที่น่าอภิรมย์นัก เพราะมีทั้งเรื่องวุ่นวายภายในสมาคม เรื่องวิกฤติศรัทธาแฟนบอล รวมถึงเรื่องผลงานที่ไม่พัฒนาไปข้างหน้า จนนำไปสู่การปลด “มิโลวาน ราเยวัช” พ้นตำแหน่งกุนซือ แต่ท่ามกลางความวุ่นวายนั้นเอง ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่แฟนบอลไทยเห็นตรงกันในทางบวก นั่นก็คือความสามารถของเหล่าขุนพลช้างศึกในชุดปัจจุบัน ที่ถือได้ว่าน่าตื่นตาตื่นใจมากที่สุดเมื่อเทียบกับหลายขวบปีที่ผ่านมา เป็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ ที่พอจะระลึกถึงยุคทองข้างหน้าได้บ้าง ไม่มากก็น้อย

จากความสำเร็จของการออกไปค้าแข้งต่างแดนของนักเตะแกนหลักทีมชาติไทยในฤดูกาลก่อน ทั้ง “ธีรศิลป์ แดงดา” ที่แม้จะไม่ได้เป็นตัวจริงต่อเนื่องนักกับฮิโรชิม่า ซานเฟรเซ่ แต่ก็ทำประตูไปไม่น้อย “ธีราทร บุญมาทัน”​ ลงเล่นสม่ำเสมอมากขึ้นหลังปรับตัวได้กับวิสเซล โกเบ “กวิน ธรรมสัจจานันท์” ยึดมือ 1 ในทีมโอเอช ลูเฟน และความยอดเยี่ยมต่อเนื่องของ “ชนาธิป สรงกระสินธ์” ที่ติดทั้งทีมยอดเยี่ยมของเจลีก และยังเป็นผู้เล่นแห่งฤดูกาลของคอนซาโดเล่ ซัปโปโร ทำให้ฤดูกาล 2019 ที่จะถึงนี้ ต่อยอดให้นักเตะทีมชาติไทย ได้ไปโลดแล่นบนแผ่นดินซามูไรต่อเนื่อง ทั้งหน้าเก่าอย่างธีราทร และชนาธิป และหน้าใหม่อย่าง “ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์” ที่จะได้ไปร่วมสู้ศึกเจลีกเป็นครั้งแรกด้วยอีกคน

ชนาธิป-ธีรศิลป์-ธีราทร สามแกนหลักทีมชาติไทย ที่สร้างผลงานในเจลีกปี 2018 ได้ดี

แน่นอนครับว่าอุ้ม-ธีราทร และเจ-ชนาธิป ยังคงเป็นความหวังของหมู่บ้าน ที่เราอยากจะให้ทั้งคู่ได้เพิ่มประสบการณ์ และความแข็งแกร่งมาเสริมเขี้ยวเล็บให้กับทีมชาติไทยให้มากขึ้น แต่คนที่เราอยากจะโฟกัสมากกว่า อยากจะมองไปที่นิว-ฐิติพันธ์ เพราะมันเป็นก้าวย่างที่สำคัญกับอาชีพค้าแข้งของเขาอย่างแท้จริง

ย้อนประวัติกันคร่าวๆ นิดนึง ให้รู้ที่มาที่ไป “นิว-ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์” ถือเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นอย่างแท้จริงของวงการฟุตบอลไทย เพราะเขาคือลูกชายของ “ไพโรจน์ พ่วงจันทร์” อดีตกองหลังสโมสรทหารอากาศ และทีมชาติไทย ยุคเดียวกับ “เดอะ ตุ๊ก” ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ซึ่งตอนนี้นิวและคุณพ่อไพโรจน์ สร้างสถิติเป็นพ่อ-ลูกคู่แรกที่คว้าเหรียญทองฟุตบอลซีเกมส์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

คุณพ่อไพโรจน์ พ่วงจันทร์ อดีตกองหลังทีมชาติไทย ผู้ให้กำลังใจนิวเสมอ

แม้หลังจากแขวนสตั๊ด คุณพ่อไพโรจน์จะไม่ได้มาในสายการเป็นโค้ชมากนัก แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตลอดเส้นทางการเติบโตของนิวนั้น คุณพ่อมีส่วนสำคัญอยู่ใกล้ชิดตลอด ไม่ว่าในช่วงที่ตกต่ำ หรือประสบความสำเร็จ ซึ่งคุณพ่อไพโรจน์ก็เคยเล่าถึงจุดดาวน์สุด ว่านิวเองก็เคยท้อ และเกือบจะเลิกเล่นไปแล้วด้วยซ้ำตอนได้รับบาดเจ็บช่วงวัยรุ่น

เล่าถึงประวัตินิวในเส้นทางสายฟุตบอล นิวเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนสตรีวิทยา 2 และเริ่มต้นเป็นเด็กฝึกหัดระดับสโมสรกับเมืองทอง ยูไนเต็ด ตั้งแต่อายุราว 17 ปี รายการแจ้งเกิดสำคัญของนิว คือชิงแชมป์เอเชีย ยู-19 ในปี 2012 ร่วมกับชนาธิป, ธนบูรณ์ เกษารัตน์ หรือ นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดมซึ่งนิวสามารถยิงประตูเกาหลีใต้ได้ทั้งรอบคัดเลือก และรอบสุดท้าย ประตูที่ทุกคนจดจำได้ คือการยิงไกลกว่า 35 หลาดับโสมขาวในรอบคัดเลือก ซึ่งออกข่าวดังทั้งไทย และเทศ จนมีสื่อบางสื่อถึงกับเรียกนิวว่า “เจอร์ราร์ดเมืองไทย” กันเลยทีเดียว

ทีมชาติไทยชุดยู-19 ในปี 2012 ที่เต็มไปด้วยเด็กเทพที่ทะลุมาติดทีมชาติชุดใหญ่

แต่ชีวิตก็ไม่ได้มีแค่กราฟขาขึ้นเสมอไป ในวัย 19 ปี ที่นิวก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของเมืองทอง เพราะด้วยตำแหน่งกลางตัวรุก-หน้าต่ำที่นิวเล่น ต้องแย่งตำแหน่งกับนักเตะคุณภาพหลายคน นิวจึงถูกโยกไปเล่นตำแหน่งหลากหลายวาไรตี้ไปหมด ทั้งกลางรับ, กองหน้า, ปีกขวา หรือแม้กระทั่งแบ็คขวา ทำให้ฟอร์มการเล่นไม่สม่ำเสมอ แล้วก็ดันมาบาดเจ็บหนักเอ็นไขว้หน้าขาด และหมอนรองกระดูกเสียหาย จากนักเตะยู-19 ชุดเทพ ที่ได้ขึ้นไปโผล่ชุดใหญ่ก่อนใคร ก็เริ่มตามหลังเพื่อร่วมรุ่นอย่างธนบูรณ์ หรือชนาธิป เรียกง่ายๆ ได้ว่านิวเสียศูนย์กับช่วงเวลานั้นมาก จนถึงขั้นคิดถึงการเลิกเล่นเลยทีเดียว

แต่ในเมื่อใจสู้ และได้รับการดูแลอย่างดีจากครอบครัว นิวกลับมาเรียกความฟิต และสู้ใหม่ จนกลับมาติดทีมชาติอีกครั้ง โดยมีแมทช์ไฮไลท์เป็นการเหมา 2 ประตู ในแมทช์แพ้เลบานอน 2-5 ในการคัดเลือกเอเชียนคัพยุค “วีลฟรีด เชเฟอร์” และก็ติดทีมชาติเรื่อยมา จนมาเกิดกราฟลงอีกรอบของนิวกับทีมชาติ ช่วงต้นยุคของ “ซิโก้-เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง” ที่นิวมาพลาดจุดโทษสำคัญ ในบอลคัดโอลิมปิก นัดที่พ่ายญี่ปุ่น จนตกรอบคัดเลือก และเส้นทางทีมชาติในยุคซิโก้นับจากนั้น ก็ดูเหมือนเป็นเส้นขนานกับนิวไปเลย

จังหวะลื่นจนยิงจุดโทษข้ามคานกับญี่ปุ่น ที่ส่งผลกระทบต่อการติดทีมชาติของนิว

อย่างไรก็ตาม ในเมื่ออายุยังน้อย ฝีเท้าก็ไม่ธรรมดา จุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดอีกหน กับการได้ย้ายไปอยู่กับเชียงราย ยูไนเต็ด และได้ร่วมงานกับอเล็กซานเดร กามา ผู้ซึ่งสร้างทีมเชียงรายด้วยดาวรุ่ง และมีนิวเป็นแกนกลางสำคัญ นิวได้เล่นในตำแหน่งที่ถนัด อาการบาดเจ็บก็ไม่กลับมารบกวน จนสร้างผลงานได้ร้อนแรง และกลับมาติดทีมชาติอีกครั้งในยุคของมิโลวาน ราเยวัช

ในสีเสื้อของเชียงราย ยูไนเต็ด ที่นิวทำผลงานได้ยอดเยี่ยม จนกลับมาติดทีมชาติ

ซีซั่นที่แล้วในไทยลีก อาจจะไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่สำหรับนิว เมื่อการย้ายมาบางกอกกล๊าส เอฟซี (ปัจจุบันชื่อบีจี ปทุม ยูไนเต็ด) กลายเป็นปีที่สโมสรต้องจบด้วยการตกชั้นจากไทยลีก แต่โดยฟอร์มการเล่นส่วนตัวแล้ว นิวเองยังคงทำงานหนัก และรักษาผลงานได้ดีเหมือนตอนอยู่เชียงราย แถมยังพัฒนาฝีเท้าจนได้รับการยกย่องว่าเป็นกองกลางแบบ Box-to-Box ที่ดีที่สุดของไทย จึงไม่แปลกที่จะเป็นกองกลางห้องเครื่องคนสำคัญ ที่การันตี 11 ตัวจริงตลอดในสีเสื้อช้างศึก ในยุคของราเยวัช

แม้ผลงานการคุมทีมของราเยวัช จะไม่ค่อยเป็นที่น่าจดจำเท่าไหร่นัก แต่อย่างน้อยก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านิวเอง ได้พัฒนารูปแบบการเล่นในตำแหน่งกลางรุกขึ้นเป็นอย่างมากในชุดช้างศึก การต่อบอลของนิวดูมีความมั่นใจมากขึ้น การประสานงาน และทะลุเข้าสู่กรอบเขตโทษของคู่แข่ง ก็ทำได้ชัดเจนจะแจ้งขึ้นเช่นกัน ดังนั้นในวัยเพียง 25 ปี และผลงานในทีมชาติโดดเด่น จนถึงเอเชียนคัพรอบสุดท้ายที่ยูเออี โอกาสไปลุยศึกเจลีก จึงถูกยื่นเข้ามาทันที (ตามข่าวว่ามามากกว่า 1 สโมสรเลยทีเดียว)

จังหวะดีใจหลังทำประตูยูเออีในเอเชียนคัพต้นปีที่ผ่านมา ทำให้ไทยผ่านเข้ารอบสำเร็จ

สำหรับทีมที่นิวจะย้ายไปร่วมทีมด้วยในสัญญายืมตัว 1 ปีคือ “โออิตะ ทรินิตะ” ทีมน้องใหม่ของศึกเจลีก หลังฤดูกาลที่แล้วสามารถคว้าอันดับ 2 ในเจทู จนได้สิทธิ์เลื่อนชั้นอัตโนมัติขึ้นมา ร่วมกับแชมป์อย่างมัตซึโมโตะ ยามากะ โดยโออิตะ มีนักเตะส่วนใหญ่เป็นชาวญี่ปุ่นแทบจะ 100% และมีกุนซือเป็นชาวญี่ปุ่นเช่นกัน ชื่อว่า โทโมฮิโระ คาตาโนซากะ ซึ่งคุมโออิตะ มาตั้งแต่ปี 2016

แน่นอนว่าด้วยอายุ ความสามารถ และพละกำลังของนิวในช่วงฟอร์มตอนนี้แล้ว คงไม่ต้องห่วงเรื่องการโผล่เข้ามาเป็นหนึ่งในกลุ่มกำลังหลักซึ่งโค้ชโทโมฮิโระจะลองเลือกใช้งาน แต่ในส่วนของการปรับตัวแล้ว คุณพ่อไพโรจน์เอง ก็เคยเอ่ยว่าเป็นห่วงลูกชายอยู่บ้าง เพราะนิวเป็นคนค่อนข้างเงียบ และจะไม่พูดคุยมากนัก หากยังไม่สนิทกับใคร ผิดกับเจ-ชนาธิป ที่เป็นคนอารมณ์ดี มักจะพูดคุย เข้ากับคนอื่นได้ง่ายกว่า

โทโมฮิโระ คาตาโนซากะ กุนซือของโออิตะ ที่พาทีมขึ้นจากเจทรี มาสู่เจลีกสำเร็จ

เรื่องผลงานทีมก็เป็นอีกเรื่องเช่นกัน ว่าทีมที่ห่างจากลีกสูงสุดมานานถึง 5 ปี นับจากตกชั้นไปเมื่อปี 2013 ย่อมจะเจอกับบททดสอบที่โหดสาหัสอยู่ไม่น้อย เหมือนปีแรก (2017) ของเจกับซัปโปโร ที่ทีมต้องหนีตกชั้นหนักพอสมควร ก่อนจะลืมตาอ้าปากขึ้นมาลุ้นหัวตารางได้ในฤดูกาลถัดไป (2018) จึงถือเป็นบททดสอบจิตใจอีกอย่างของนิว ที่เราคิดว่าเขาน่าจะเอาอยู่ เพราะปีที่แล้วเขาก็ต้องทุ่มเทอย่างหนักเพื่อหนีตกชั้นกับบางกอกกล๊าส แม้สุดท้ายจะไม่รอดก็ตาม โดยนิวเอง ได้ทำการซ้อมร่วมกับทีม และลงอุ่นเครื่องไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่าจะต้องปรับตัวให้เร็วที่สุด เพื่อเข้ากับการเล่นในญี่ปุ่นที่หนัก และรวดเร็วกว่าไทยลีก

ภาพนิวในการลงซ้อมกับโออิตะ ซึ่งนิวยอมรับว่าต้องเร่งปรับตัวให้ได้เร็วที่สุด

สำหรับโปรแกรมเป็นทางการแรกของโออิตะในฤดูกาล 2019 นั้น จะประเดิมสนามเล่นในบ้านพบกับคาชิม่า แอนท์เลอร์ อันดับ 3 ของเจลีกซีซั่นที่แล้ว ในวันเสาร์ที่ 23 ก.พ.​ ที่จะถึงนี้ โดยคาดว่านิว น่าจะมีชื่อติดทีมเป็น 1 ใน 18 เพื่อลุ้นประเดิมสนาม ซึ่งแน่นอนว่านอกจากกำลังใจที่แฟนบอลชาวไทยจะส่งไปเอาใจช่วยกันเต็มที่แล้ว ความคาดหวังในระดับสูงต่อมิดฟิลด์ช้างศึกรายนี้ ก็ย่อมจะสูงตามไปด้วย ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าประสบการณ์ล้มลุกคลุกคลานตั้งแต่เด็ก และความใจสู้ที่ไม่ถอดใจ จะช่วยให้นิว ลูกไม้ใต้ต้นคนนี้ ทาบรอยเท้าของเพื่อนร่วมรุ่นอย่างเจ-ชนาธิป ในดินแดนซามูไร ได้โดยเร็ววัน

Text – Rocketseer

Picture – Spring News, SMMSport, Siamsport, MThai Sport, THSport, Kapook, TrueID, MGROnline, Oita Trinita

ข้อมูล : THSport, Siamsport, Wikipedia, Oita Trinita

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save