ห้าปีที่แล้ว John Wick ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการหนังแอ็กชันด้วยการเปิดตัวนักฆ่าแห่งโลกมืดที่ทำให้ผู้ชมทั่วโลกได้สัมผัสกับฉากแอคชั่นโคตรระห่ำ แต่อัดแน่นไปด้วยความสวยงามและสมจริงจนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้หนังแอ็กชันรุ่นถัดมา
จากบทหนังหลุดโลกที่มีหมาตายเป็นชนวนความแค้น ซึ่งใครเห็นเป็นต้องส่ายหน้าก้าวขึ้นมาสู่ความสำเร็จทั้งด้านคำวิจารณ์และรายได้จนกลายเป็นหนังแฟรชไชน์ภาคต่อถึงสามภาค โดยในภาคแรกสามารถทำเงินได้กว่า 88 ล้านดอลล่าห์สหรัฐอย่างเหนือความคาดหมาย แต่ภาคสองเหนือยิ่งกว่าเพราะสามารถทำเงินได้สูงถึง 171 ล้านดอลล่าห์สหรัฐ
นอกจากกำลังจะลงจอฉายภาค 3 อย่าง John Wick: Chapter 3 – Parabellum แล้ว นักแสดงและทีมงานเดิมขอยังไม่หยุดบทสรุปจักรวาลนักฆ่าเอาไว้เท่านี้ เพราะพวกเขากำลังเตรียมขยายจักรวาลบทใหม่ไปสู่ซีรีส์โทรทัศน์ภายใต้ชื่อ The Continenta พร้อมรับประกันว่าจะคงฉากต่อสู้โคตรระห่ำที่เต็มไปด้วยฉากยิงแบบดุเดือดแบบจุใจเอาไว้เช่นเดิม
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อจริง ๆ ว่าหนังที่หลายคนมองข้ามวันนั้นจะประความความสำเร็จได้เกินคาดขนาดนี้ และอะไรกันที่ทำให้หนังแอ็กชันดูธรรมด๊า ธรรมดา อย่าง John Wick ลบทุกคำสบประมาทแล้วพลิกเกมกลายมาเป็นปรากฎการณ์ที่แฟนหนังแอ็กชันตั้งหน้าตั้งตารอชมลีลาการต่อสู้โคตรบ้าระห่ำของชายผู้รักหมาคนนี้ให้ได้
สองผู้กำกับที่เข้าใจหนังแอ็กชันถึงแก่น
Chad Stahelski ผู้กำกับที่รั้งตำแหน่งเพื่อนซี้ของพระเอกหนุ่ม Keanu Reeves มาตั้งแต่สมัยเป็น Stunt Double ให้กับเขาในหนังเรื่อง The Matrix ก่อนที่ความสามารถของเขาจะเฉิดฉายสู่ตำแหน่งผู้ออกแบบฉากแอ็กชันเคียงคู่มากับ David Leitch ผู้อยู่เบื้องหลังหนังแอ็กชันสุดมันส์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น V For Vendetta , Fight Club , 300 , DEADPOOL 2 และเร็วๆนี้อย่าง Hobbs & Shaw ประสบการณ์ทำงานในอดีตที่เคยมีสามารถการันตีได้ว่าพวกเขาทั้งคู่เข้าใจขั้นตอนการสร้างหนังเป็นอย่างดี แถมยังเชี่ยวชาญด้านการสร้างสรรค์ฉากแอ็กชันสุดตื่นตา
ความสมจริงอันเกิดจากการฝึกฝน
ก่อนหน้าการถ่ายทำ Keanu Reeves ในวัย 52 ปี ต้องไปฝึกการใช้อาวุธสารพัดรูปแบบกับทีมงานมืออาชีพ โดยเฉพาะการต่อสู้แบบ Close Quarters Battle หรือ CQB ซึ่งหมายถึงการต่อสู้ในพื้นที่ที่มีขอบเขตจำกัด ด้วยอาวุธประจำกายในระยะประชันชิด
สำหรับหลักสูตรการฝึกอบรมการต่อสู้แบบ CQB นั้นเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกปฏิบัติการทางทหาร ผู้เข้ารับการฝึกจะต้องมีความเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธปืน มีการฝึกปฏิบัติตามยุทธวิธี มีการวางแผนอย่างรัดกุมและต้องมีการเคลื่อนที่เร็วประสานสอดคล้องกับทีมปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายโดยยึดหลักความฉับพลัน ความเร็ว และความรุนแรง เป็นพื้นฐานของปฏิบัติการนี้
เรื่องการฝึกฝนเพื่อสวมบทพระเอกนักบู๊นั้น Reeves ขึ้นชื่อว่าเอาจริงเอาจังมาตั้งแต่หนังชุด The Matrix แล้ว มีหรือใน John Wick เขาจะไม่เต็มเหนี่ยว ไม่เพียงแค่การต่อสู้แบบ CQB ที่เขาต้องฝึกฝนเป็นเวลากว่า 4 เดือน แต่เขายังต้องทุ่มเทให้กับการฝึกศิลปะการต่อสู้แบบ Mixed Martial Arts หรือ MMA ที่รวมเอาศิลปะการต่อสู้หลายแขนงเข้าไว้ด้วยกันไม่ว่าจะเป็นแบบบราซิล ยูยิตสู กังฟู มวยไทย มวยสากล คราฟมากา และยูโดเป็นเวลา 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์
รวมถึงต้องฝึกการใช้อาวุธต่างๆ โดยเฉพาะอาวุธปืนที่ Reeves ต้องยิงกระสุนกว่า 1,000-1,500 นัดต่อการฝึกหนึ่งครั้ง ยิงไปเรื่อย ๆ จนกว่าเขาจะจำน้ำหนักและสัมผัสของปืนได้ขึ้นใจ ทำให้เราไม่เพียงแค่ได้ชมใช้การใช้ปืนอย่างสมจริงแต่ยังเห็นปืนแต่ละประเภทที่ขนมาใช้ราวกับเปิดคลังแสง
“การซ้อมด้วยกระสุนจริงทำให้คุณเรียนรู้ว่าร่างกายคุณจะรู้สึกและตอบสนองอย่างไร ถ้าว่ากันตรงๆ แล้ว มันไม่มีวิธีอื่นที่เรียนรู้ได้หรอก ถ้าคุณไม่ได้ยิงมันจริงๆ ” Reeves กล่าว
เมื่อ Taran Tactical ได้ปล่อยคลิปวีดีโอเบื้องหลังที่เผยให้ว่า Reeves กำลังฝึกฝนการใช้อาวุธปืนกับครูฝึกอดีตหน่วย SEAL และ CIA ของสหรัฐ เพื่อเตรียมพร้อมก่อนการถ่ายทำ ภายในวีดีโอเราจะเห็นถึงวิธีการใช้อาวุธต่างๆ แบบเข้มข้นทั้งในเชิงยุทธวิธี, การฝึกชักปืนพก, การใช้ปืนคาร์ไบน์ และความลื่นไหลในการเปลี่ยนและเก็บอาวุธ เช่น การลดปืนลงเมื่อเดินผ่านประตูเพื่อลดโอกาสที่ศัตรูจะเห็นเขา รวมไปถึงรายละเอียดเล็ก ๆ อีกมากมายเพื่อความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
“สำหรับผมหนังแอ็กชันมันเกี่ยวกับการเชื่อมผู้ชมเข้ากับตัวละคร ถ้าทำให้คนดูอินได้ ความแอ็กชันจะเร้าอารมณ์มากกว่า คุณจะเข้าใจเดิมพันของเรื่อง บางครั้งผมคิดว่าที่การฝึกมันยากเพราะผมแก่แล้ว แต่เปล่าเลย นี่เป็นงานยากต่อให้คุณไม่ได้อายุ 54 ก็เถอะ เพราะฉากแอคชั่นในภาคนี้มันเยอะมาก แต่มันทำให้ผมเข้าใจตัวละครนี้มากขึ้น เพราะเขาทำทุกอย่างสุดพลังเสมอ เราจะซื่อสัตย์กับสิ่งที่เราสร้างมากับแฟรนไชส์นี้ ”
Reeves ให้สัมภาษณ์ถึงการรับบทบาทใน John Wick: Chapter 3 – Parabellum ที่กำลังจะลงจอ ซึ่งคราวนี้นอกจากศิลปะป้องกันตัวรูปแบบใหม่หรือเทคนิคการใช้ปืนแบบใหม่ ๆ แล้วยังมีมอเตอร์ไซค์ ม้า และก็น้องหมาเข้ามาร่วมบู๊ด้วย
Gun – Fu ฉากยิงไม่ยั้งจนแทบหยุดหายใจ
John Wick ถือเป็นหนังที่ออกแบบฉากแอ็กชันออกมาได้ทั้งเท่และสมจริง ชวนให้คนดูลุ้นระทึก เอาใจช่วยไปกับการกำจัดศัตรูร่วมร้อยกว่าคนด้วยวิธีการต่อสู้อย่างคล่องแคล่ว ว่องไว และดุเดือดในเวลาเดียวกันของ John Wick ที่โชว์ศักยภาพเต็มสูบกับอาวุธทุกชนิดแม้กระทั่งดินสอ แต่สิ่งหนึ่งที่โดดเด่นจนถึงขั้นเป็นแบบอย่างให้ฉากแอ็กชันหนังเรื่องอื่น ๆ คือการใช้ศิลปะการต่อสู้แบบกังฟูผสมผสานเข้ากับการใช้ปืน หรือที่เรียกกันว่า Gun Fu เล็งไปที่หัวคู่ต่อสู้ HeadShot รัว ๆ มีสิบล้มสิบเสมือนกับว่าปืนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายไม่ว่าจะกี่คนก็เอาอยู่
Gun Fu เป็นการใช้ศิลปะการต่อสู้กังฟูผสมผสานเข้ากับการใช้อาวุธปืนเพื่อจัดการกับคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็ว ฉับไวแทนที่การใช้อาวุธดั้งเดิมในอดีต โดยส่วนใหญ่จะเป็นปืนสั้นที่มีน้ำหนักเบาและพกพาง่ายมากกว่าปืนชนิดอื่น
จุดเริ่มต้นของ Gun Fu นั้นเริ่มมีมาตั้งแต่ยุค 80s บุกเบิกโดยผู้กำกับหนังแอ็กชันชื่อดังชาวฮ่องกงอย่าง John Woo จากหนังเรื่อง A Better Tomorrow (1986) ก่อนที่สไตล์ฉากแอ็กชันแนวนี้จะเริ่มขยายอิทธิพลจากเอเชียมาสู่อเมริกาในที่สุด หลังจากนั้นไม่ว่าจะเป็นหนังเรื่อง Lara Croft: Tomb Raider (2001), Equilibrium (2002), Kick-Ass (2010) , Kingsman: The Secret Service (2017) ฯลฯ ล้วนก็ออกแบบการต่อสู้โดยใช้ Gun Fu เข้ามาผสม
Chad Stahelski ให้สัมภาษณ์ถึงการออกแบบฉากแอ็กชันอันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้ John Wick โดดเด่นกว่าหนังแอ็กชันเรื่องอื่นว่ามันเป็นเพราะเขามีเวลาและงบประมาณจำกัดในการถ่ายทำหนังภาคแรกจึงต้องหาทางแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการออกแบบฉากแอ็กชันให้เกิดข้อผิดพลาดได้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้เมื่อต้องถ่ายฉากแบบ Long Take
“ ทั้งหมดมันเป็นการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ยิ่งคุณใช้ Stunt Double เยอะ นั่นหมายถึงต้องเพิ่มเวลาให้ครอบคลุมมากขึ้นสำหรับการตัดต่อเช่นกัน ซึ่งเราจะต้องประหยัดเวลาเพราะเรามีเพียง 50 วัน หรือน้อยกว่า 47 วัน ตอนถ่ายทำหนังภาคแรก ถ้าคุณใช้การต่อยและเตะมากเท่าไหร่ ก็จะพลาดได้ง่ายขึ้นเท่านั้นเพราะคุณต้องขายฉากต่อยตี ดังนั้นเราจึงต้องพยายามตัดการต่อสู้แบบนั้นออกไปแล้วใช้ยูโด,ยิวยิตสู รวมถึงเทคนิคการใช้ปืนมาใช้ในการทำงานแทน เพื่อให้เราสามารถเก็บภาพทั้งหมดได้โดยไม่ต้องคัท ดังนั้นพวกเราจึงพัฒนาสไตล์การต่อสู้จากสิ่งเหล่านั้นซึ่งทาง Reeves เองก็เคยฝึกฝนศิลปะการต่อสู้จากหนังเรื่อง The Marilx ทั้งสามภาคมาแล้ว ”
องค์ประกอบศิลป์ในงานภาพ
อีกสิ่งสำคัญที่ทำให้แฟรนไชส์ John Wick พิเศษกว่าหนังแอ็กชันเรื่องอื่นคือการใส่ความอาร์ตลงไปในงานภาพ ขณะที่หนังต่อสู้เรื่องอื่นๆ ระดมฉากตีเข่า ออกหมัด ตีศอกหรือกราดยิงไม่เลี้ยงแล้วจบไป แต่ John Wick กลับไม่ละเลยองค์ประกอบศิลป์ทิ้งไป
Jonathan Sela ผู้กำกับภาพที่อยู่เบื้องหลังแสงและเงาอันฉูดฉาดของภาคแรกนั้น โดดเด่นเรื่องการสาดแสงและใช้สีเข้มข้นเพื่อบอกเล่าสถานะของตัวละคร เห็นได้จากงานเก่า ๆ ของเขาซึ่งล้วนแต่เต็มไปด้วยฉากแสงสีนีออนจัดจ้าน
“ไอเดียหลักของผมกับผู้กำกับที่มีต่อหนังคือ ต้องทำให้ลุคในหนังมันแตกต่างออกไปสองแบบ อย่างแรกคือชีวิตปกติของ John Wick ก่อนจะเริ่มต่อสู้ และอีกอย่างคือโลกใต้ดินที่เขาหลีกหนีมาโดยตลอด” Sela กล่าว “เราอยากให้พาร์ตแรกดูอบอุ่นและสะอาด ส่วนพาร์ตหลังนั้นดิบ มืดทึมและดูผุพังมากกว่า ”
งานภาพและแสงสีอลังการ ยังถูกการนำมาเป็นส่วนหนึ่งของการเล่าเรื่องภาคสอง John Wick: Chapter 2 ที่เผยให้เห็นการออกล่าไปพลาง หลบเอาตัวรอดไปพลางของ John Wick ท่ามกลางแสงโทนนีออนสีม่วงและน้ำเงินที่อาบไล้เขาอยู่ตามสไตล์การกำกับภาพของ Dan Laustsen ผู้กำกับภาพสัญชาติเดนมาร์ค ซึ่งเข้ามารับไม้ต่อหน้าที่นี้อีกครั้งใน John Wick: Chapter 3 – Parabellum ด้วยเช่นกัน
“ Chad Stahelski ชอบช่องว่างของสีมากๆ โดยเฉพาะเงาดำกับช่องว่างที่มีแสงลอดเข้ามาทิศเดียวแบบที่ผมเคยถ่ายใน Crimson Peak…เขาอยากสร้างอะไรที่มันมีสไตล์หน่อย คลาสสิกขึ้นอีกนิด และเราอยากได้หนังที่สีสันมันจัดจ้านด้วย จำพวกสีสดๆ แต่ต้องไม่ใช่สีแบบที่ใช้ในงานโทรทัศน์นะ อย่างแดงก็ต้องแดงจริงๆ ดังนั้น เวลาเราทำงาน เราจึงต้องระวังเรื่องแสงและเรื่องความคมชัดของภาพเป็นพิเศษ ” Laustsen กล่าว
ในความยาว 5 นาที ของตัวอย่างหนัง ได้เผยให้เห็นว่า Mr. Wick ยังคงต่อสู้อย่างมันส์หยดภายใต้แสงโทนสีน้ำเงินและเขียวเช่นเดียวกับภาคก่อนหน้าแต่ดูดิบและคลาสสิคมากขึ้น
เมื่อเห็นหลายวัตถุดิบที่มาผสมเข้าด้วยกันก่อเกิดเป็นหนังเรื่องนี้แล้ว เรียกได้ว่าความสำเร็จของ John Wick ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยแต่เกิดจากความคิดต่างบวกกับทีมงานคุณภาพที่เข้าขากันเป็นอย่างดี ทำให้คนดูสัมผัสได้ถึงความตื่นตาตื่นใจซึ่งมาพร้อมกับความสมจริงอันหาได้ยากจากหนังเรื่องอื่น
Cover : Dave Rapoza