จาก ซีเนอดีน ซีดาน ที่ เรอัล มาดริด และ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ บาร์เซโลน่า บางครั้งตำนานของสโมสรที่กลับมาในฐานะผู้จัดการทีม ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับนักเตะ และอดีตต้นสังกัดเก่าของพวกเขา แต่บางครั้งมันก็ไม่เป็นเช่นนั้น
การได้รับยกย่องจากแฟนบอลตัวเองว่า เป็นอดีตยอดนักเตะของสโมสรนั้น ไม่มีอะไรสามารถรับประกันได้ว่า คุณจะกลับมาเป็นกุนซือที่ประสบความสำเร็จกับทีมเก่าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตการเป็นโค้ช มันยากกว่าการเป็นนักฟุตบอลเสมอ
ตำนานดาวเตะทั้ง 6 รายต่อไปนี้ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แม้คุณจะเคยเป็นฮีโร่ของสโมสรพาทีมกวาดแชมป์มาอย่างมากมาย แต่การทำหน้าที่ผู้จัดการทีมนั้น มันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
1.อลัน เชียร์เรอร์ (นิวคาสเซิล)
ในวันเอพริลฟูลเดย์ของปี 2009 นิวคาสเซิล ทำสิ่งน่าประหลาดใจด้วยการประกาศว่า เชียร์เรอร์ จะเข้ามาเป็นผู้จัดการทีมจนกระทั่งสิ้นสุดฤดูกาล เพื่อช่วยสโมสรหนีจากการตกชั้น หลังจากที่ โจ คินเนียร์ กุนซือคนปัจจุบัน เข้ารับการผ่าตัดหัวใจ
เชียร์เรอร์ ซึ่งปฏิเสธการย้ายไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 1996 เพื่อเซ็นสัญญากับสโมสรในฝันตั้งแต่วัยเด็กของเขาอย่าง นิวคาสเซิล นั้น ก็ไม่รีรอที่จะคว้าโอกาสกุมบังเหียนทีมรักของเขาเอง นอกจากนี้ หัวหอกทีมชาติอังกฤษ ยังมีดีกรีเป็นผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลของทัพ “สาลิกาดง” อีกด้วย
ตำนานกองหน้า นิวคาสเซิล จัดการปฏิวัติทีมใหม่โดยเริ่มจากแต่งตั้ง เอียน ดาววี่ เป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีม และวางกฎระเบียบที่เข้มงวดต่อนักเตะ อย่างไรก็ตาม ผลงานของ เชียร์เรอร์ ในการคุม นิวคาสเซิล มันไม่เป็นอย่างที่แฟนบอลคาดหวังเอาไว้ เขาพาทีมเก็บชัยชนะได้เพียง 2 จาก 5 เกม และต้องตกชั้นในที่สุด
2.สจ๊วร์ต เพียร์ซ (น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์)
อดีตแบ็คซ้ายระดับตำนานของทีมชาติอังกฤษ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้เล่นควบตำแหน่งกุนซือชั่วคราวของ ฟอเรสต์ ในปี 1996 แทนที่ของ แฟรงก์ คลาร์ก ที่ถูกไล่ออก หลังจากที่ เพียร์ซ รับใช้ทัพ “เจ้าป่า” มาอย่างยาวนานถึง 12 ปี
เพียร์ซ สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการพา ฟอเรสต์ เอาชนะ “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล ได้ในเกมแรกที่เขาทำหน้าที่คุมทีม และยังได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้จัดการทีมพรีเมียร์ ลีก ประจำเดือนเดือนมกราคมปีดังกล่าวอีกด้วย
แต่ท้ายที่สุด ผลงานของ ฟอเรสต์ ตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย เพียร์ซ พาพลพรรค “เจ้าป่า” ตกชั้นตอนจบฤดูกาล และเขาก็ถอยจากบทบาทกุนซือเพื่อกลับไปเป็นนักเตะเต็มตัวอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ความผูกพันของ เพียร์ซ กับ ฟอเรสต์ ไม่จบเพียงแค่นั้น อดีตกองหลังชาวอังกฤษ กลับไปคุมทีม “เจ้าป่า” เป็นรอบที่ 2 ในปี 2014 แต่ผลงานของเขาก็ไม่ดีนัก หลังจากพาทีมชนะเพียง 3 จาก 21 นัด ก่อนจะโดนปลดในเวลาต่อมา
3.แกเร็ธ เซาธ์เกต (มิดเดิลสโบรห์)
กัปตันคนแรกที่ได้รับรางวัลใหญ่กับ มิดเดิลสโบรห์ หลังพาทีมคว้าแชมป์ลีก คัพ ในปี 2004 จากนั้น เซาท์เกต ก็ยังคงทำผลงานได้อย่างสุดยอด ด้วยการนำพลพรรค “เดอะ โบโร่” เข้าไปสู่การแข่งขันรอบชิงฯศึกยูฟ่า คัพ ในปี 2006 แต่ต้องพ่ายให้กับ เซบีย่า อย่างน่าเสียดาย
ในซีซั่นต่อมา เซาท์เกต ในวัย 35 ปี ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีม มิดเดิลสโบรห์ แทน สตีฟ แม็คเคเลน ซึ่งไปคุมทีมชาติอังกฤษ โดยอดีตกัปตัน “เดอะ โบโร่” ทำผลงานการเป็นกุนซือได้ดีในปีแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกมที่เขาพาทีมถล่ม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 8-1
แต่ผลลัพธ์ก็แย่ลงอย่างช้าๆในช่วงฤดูกาลที่ 3 ของ เซาธ์เกต กับ มิดเดิลสโบรห์ เขาทำผลงานได้อย่างย่ำแย่ และถูกไล่ออกในปี 2009
4.ออสวัลโด อาร์ดิเลส (ท็อตแนม ฮอทสเปอร์)
อดีตกองกลางชาวอาร์เจนตินา ใช้เวลาช่วงทศวรรษ 1980 กับ สเปอร์ส ได้อย่างน่าตื่นเต้น ในเวลาที่การเซ็นสัญญานักเตะจากต่างประเทศนั้น เป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับวงการฟุตบอลอังกฤษ อาร์ดิเลส ลงสนามให้ “ไก่เดือยทอง” ไปมากถึง 221 นัด ซัดไป 16 ประตู
หลังอำลา สเปอร์ส ในฐานะนักเตะ อาร์ดิเลส กลับสู่สโมสรอีกครั้งในตำแหน่งผู้จัดการทีมในซีซั่น 1993/94 โดยช่วงแรก เขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการพาทีมเล่นเกมรุกที่เร้าใจ
แต่เมื่อ เท็ดดี้ เชอร์ริงแฮม กองหน้าตัวหลักได้รับบาดเจ็บ “ไก่เดือยทอง” ผลงานตกลงอย่างหนักด้วยการพ่าย 7 นัดรวด และจบอันดับ 15 ในตารางคะแนน และ อาร์ดิเลส ก็โดนปลดในเวลาต่อมา
5.ไบรอัน ร็อบสัน (เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน)
อดีตจอมทัพผู้ยิ่งใหญ่ของ เวสต์บรอมวิช ที่ลงเล่นให้กับสโมสรไปมากกว่า 200 เกม กลับมาทำหน้าที่ผู้จัดการทีมอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายนปี 2004 และการคืนถิ่น เดอะ ฮอว์ธอร์นส์ ของ ร็อบสัน นั้น สร้างความดีใจให้กับแฟนบอลเป็นอย่างมาก
เพียงแค่เกมแรกในการคุมทีม ร็อบสัน ก็ต้องพบกับความพ่ายแพ้เสียแล้ว นอกจากนี้ เขายังทำผลงานย่ำแย่ด้วยการพา เวสต์บรอมวิช ตกไปอยู่อันดับบ็วยในช่วงวันคริสต์มาสอีกด้วย แต่ อดีตกองกลางทีมชาติอังกฤษ สร้างปาฏิหาริย์ด้วยการพาทีมรอดตกชั้นได้ในวันสุดท้ายของฤดูกาล
อย่างไรก็ตาม ในปี 2006 ร็อบสัน ยังคงพา เวสต์บรอมวิช อยู่ในสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยง และวนเวียนอยู่ในท้ายตาราง จากนั้นรอยร้าวเกิดขึ้นหลังจากที่เขาพา “เดอะ แบ็กกี้ส์” เก็บชัยได้เพียง 3 จาก 8 เกม ส่งผลให้โดนปลดในที่สุด
6. เควิน คีแกน (นิวคาสเซิล)
“คิง เคฟ” ถือเป็นตำนานกองหน้าของ นิวคาสเซิล อย่างไม่ต้องสงสัย เขาพา “สาลิกาดง” ซึ่งเป็นสโมสรที่ไม่ใช่ยักษ์ใหญ่กลับสู่ความรุ่งโรจน์ในศึกพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ อีกครั้ง ผลงานการซัด 48 ลูก จาก 78 เกม ไม่มีอะไรต้องพิสูจน์อีกแล้ว
คีแกน กลับมากุมบังเหียนในถิ่นเซนต์ เจมส์ ปาร์ค ในปี 1992-1997 และในฤดูกาล 1995/96 เขาสร้างผลงานได้อย่างโดดเด่นด้วยการพา “สาลิกาดง” ขึ้นนำเป็นจ่าฝูงในลีก โดยมีคะแนนทิ้งห่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มากถึง 12 แต้ม ในช่วงเดือนมกราคม
อย่างไรก็ตาม คีแกน ไม่สามารถพา นิวคาสเซิล ไปถึงฝั่งฝันด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ได้ และหลังจากนั้น อดีตดาวยิงทีมชาติอังกฤษ กลับมาคุมทีม “สาลิกาดง” เป็นช่วงสั้นๆอีกครั้งในปี 2008 ก่อนจะประกาศลาออกเนื่องจากมีปัญหาขัดแข้งกับบอร์ดบริหารของสโมสร
ภาพประกอบ : fourfourtwo.com, planetfootball.com, itv.com, premierleague.com, talksport.com, independent.ie