ในโลกของฟุตบอล ไม่มีใครปฏิเสธเลยว่าตำแหน่ง “กุนซือ” หรือผู้จัดการทีม ถือเป็นผู้นำสำคัญ ที่จะพาให้ทีมประสบความสำเร็จ แต่ในทางกลับกัน พวกเขาก็ถือว่ามีอาชีพที่เสี่ยงภัยจะตกงานได้ง่ายๆ เช่นกันด้วย
ทุกๆ ซีซั่นที่ผ่านพ้นไป มีกุนซือมากมายที่ต้องถูกเด้งออกจากตำแหน่ง จะโดนปลด หรือยินยอมแยกทางเอง ไม่มีใครสนใจเท่าไหร่หรอก สิ่งที่ผู้คนจะจดจำคือ กุนซือแต่ละคน ประสบความล้มเหลวแค่ไหน กับผลงานทีมที่พึ่งคุมไป
อย่างในศึกลีกสูงสุดของแดนผู้ดี ที่เปลี่ยนชื่อ และระบบแข่งขันเป็น “พรีเมียร์ลีก” มาตั้งแต่ปี 1992 (นับถึงตอนนี้ก็ 27 ปีแล้ว) เชื่อหรือไม่ ว่ามีกุนซือที่คุมทีมได้ถึงแตะหลัก 500 นัด เพียงแค่ 5 คนเท่านั้นเอง (เวนเกอร์, เฟอร์กี้, จ่าแฮร์รี่, มอยส์ และบิ๊กแซม)
สองทีมที่ใช้กุนซือมากที่สุด (รวมทั้งถาวร และรักษาการ) คือ “สาลิกาดง” นิวคาสเซิล ที่ตัวเลข 23 คน ส่วน “สิงห์บลู” เชลซี ใช้บริการกุนซือมาทั้งหมด 22 คน ถ้านับเฉพาะในการคุมทีมในพรีเมียร์ลีก
สถิติแค่เพียงง่ายๆ ที่ยกมา บ่งบอกได้อย่างดีว่ากุนซือถูกปรับเปลี่ยนกันเป็นว่าเล่น ซึ่งแน่นอนว่าเหตุผลส่วนใหญ่มาจากการทำผลงานได้ไม่เข้าเป้า เมื่อเทียบกับสิ่งที่คาดหวัง
จากกุนซือผู้เป็นที่ไว้ใจ ก็กลายเป็น “กุนซือเก้าอี้ร้อน” และหากทุกอย่างไม่ดีขึ้น ก็จะแปรสภาพเป็น “กุนซือตกงาน” ในที่สุด
เพื่อให้เราเข้าใจปัจจัยต่างๆ เกี่ยวกับการปลดกุนซือมากขึ้น เรามาดูจากเคสตัวอย่าง ในสถานการณ์ปัจจุบันกันดีกว่า
เคส 1 : มาร์โก้ ซิลวา
กุนซือหนุ่มชาวโปรตุกีส ถูกคาดหมายว่าจะเป็นการลงทุนระยะยาวของ “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” เอฟเวอร์ตัน โดยทีมเคยพยายามดึงตัวซิลวามาคุม ตั้งแต่ที่เขายังมีสัญญากับวัตฟอร์ด ก่อนจะได้กุนซือวัย 40 กว่า มาคุมทีมสมใจในซีซั่นที่แล้ว
ซีซั่นก่อน เขาพาทีมจบอันดับ 8 ด้วยการสนับสนุนเงินทุนปรับปรุงทีม และเพื่อสานต่องานในระยะยาว เอฟเวอร์ตันลงทุนในซัมเมอร์อีกครั้ง ด้วยการเซ็นอังเดร โกเมส ถาวร และสอยนักเตะที่น่าจะเข้ามาเป็นแกนหลักของทีมทั้ง เดลป์, กาแม็ง, อิโวบี้ และมอยเซ่ คีน
แต่แทนที่จะได้เห็นความสำเร็จแบบต่อยอด ทีมกลับแพ้ถึง 5 ใน 8 เกมเปิดฤดูกาล จนอันดับของทีมที่ถูกคาดหวังว่าจะไปท้าทายกลุ่มลุ้นบอลยุโรป ต้องตกลงมาต่ำถึงอันดับ 18 หรือโซนตกชั้น
แม้ 4 นัดนับจากนั้น ซิลวาจะพาทีมคว้าชัยได้ 2 นัด แต่สถานการณ์มาคุในตำแหน่งของเขายังไม่ค่อยจางหายเท่าไหร่ ยิ่งดูโปรแกรมปลาย พ.ย. ถึง ธ.ค. ที่เอฟเวอร์ตันต้องเจอทั้ง เลสเตอร์, ลิเวอร์พูล, เชลซี, แมนฯ ยู, อาร์เซน่อล แบบต่อกัน 5 นัดรวด
แน่นอนว่าแฟนบอลเอฟเวอร์ตัน และบอร์ดบริหาร คงไม่ได้คาดหวังว่าทีม “ทอฟฟี่” จะก้าวขึ้นไปลุ้น Top 4 แบบทันทีทันใด แต่กับการไปวนเวียนอยู่ในครึ่งล่างของตาราง มันก็ทำให้พวกเขาคิดถึงการปลดกุนซือรายนี้ ยิ่งเมื่อเทียบกับเม็ดเงินที่ลงทุนไปมหาศาล
แม้อาจจะพออ้างได้ว่าตัวที่ซื้อมาใหม่ โชว์ผลงานได้ไม่ดีอย่างที่คิด แต่ด้วยนักเตะที่ทีมมีอยู่แล้ว มันก็ควรสร้างผลผลิตดีกว่านี้ ปัญหากองหน้าก็แก้ไม่ได้ซักที รูปแบบเกมก็ดันแย่ลง ชีวีตซิลวาก็ลำบากอย่างที่เห็น
เคส 2 : อูไน เอเมรี่
กุนซือเทพเจ้าโลกิ จัดว่ามีดีกรีไม่เบาก่อนมารับงานต่อจาก “อาร์เซน เวนเกอร์” ที่คุมอาร์เซน่อลมานานถึง 22 ปี เอเมรี่ เคยเป็นแชมป์ยูโรป้า ลีก 3 สมัยซ้อน เคยคุมทีมใหญ่อย่างเปแอสเช แถมยังเป็นพวกทรงบอลสวยงาม เป็นตัวเลือกที่น่าจะออกมาดี
แม้จะสตาร์ทได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่อูไนก็สามารถพาทีมกลับมาชนะในลีก 7 นัดรวด และไม่แพ้ใครถึง 14 นัด ในซีซั่นที่แล้ว รูปแบบการเล่นก็ดีขึ้นเรื่อยๆ นักเตะก็เริ่มจูนกันติด
สุดท้าย แม้ “ปืนใหญ่” จะไม่สามรถจบท็อปโฟร์ได้ เพราะดันไปสะดุดบ่อยเกินไปช่วงท้ายซีซั่น แต่ด้วยแผนงานที่บอร์ดบริหาร และอูไนเอง วางไว้เป็นระยะยาวอยู่แล้ว ดังนั้นไม่มีข้อกังขา ที่เขาจะได้สู้ต่อในซีซั่นที่ 2
ก่อนซีซั่นปัจจุบันจะเริ่มต้น เป้าหมายการโจมตีของแฟนบอล พุ่งไปที่บอร์ดสโมสร ที่ไม่ยอมให้เงินสนับสนุนในการปรับปรุงทีมให้อูไน แม้สุดท้ายพวกเขาจะจัดแจงสอย “นิโคลาส เปเป้” มาให้ แต่ก็ยังมีเครื่องหมายคำถามในเรื่องเกมรับ และแดนกลาง ที่ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่ายังดีไม่พอ
แม้อูไนจะไม่ได้เพ่งเล็งแต่แรก แต่จุดอ่อนของพวกเขาก็สร้างปัญหาแบบที่แฟนบอลคิด เกมรุกพวกเขาผลิตสกอร์ได้สม่ำเสมอ แต่เกมรับก็พร้อมเสียประตูทุกเมื่อ 12 เกมในลีก พวกเขาชนะแค่ 4 นัด เก็บคลีนชีตได้แค่ 2 แมทช์
เมื่อผลงานโดยรวมไม่ดีขึ้น เพราะปัญหาเดิมๆ ที่อูไนแก้ไม่ตก กระแสตีกลับก็เริ่มหันมาที่ตัวกุนซือสแปนิชรายนี้แทน ยิ่งมีประเด็นการแต่งตั้ง “กรานิต ชาก้า” เป็นกัปตันทีม และการดร็อป “เมซุต โอซิล” แบบไม่บอกสาเหตุ ยิ่งทำให้บรรยากาศต่างๆ มันแย่ไปหมด
เคสของอูไน ก็เลยกลายเป็นปัญหารุมเร้าจากหลายด้าน สิ่งที่แฟนๆ เบื่อหน่ายกับขวบปีหลังของเวนเกอร์ ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข รูปแบบการเซ็ตเกม และการขึ้นบอลสวยๆ ก็มีให้เห็นน้อยลงทุกที ไม่แปลกที่หลายคนเริ่มอยากเห็นเทพโลกิตกสวรรค์
เคส 3 : มานูเอล เปเยกรินี่
กุนซือมากประสบการณ์ชาวชิลี พกดีกรีมาเต็มพิกัด เคยเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกกับซิตี้ เคยคุมเรอัล มาดริด เมื่อ “ขุนค้อน” ที่จริงๆ พอจะมีกะตังค์กะเค้า รู้ว่าพวกเขาดึงดูดใจเปเยกรินี่ไหว ก็จัดการโน้มน้าว เอามาคุมทีมต่อจาก “เดวิด มอยส์” ที่แยกทางกันไป
ซัมเมอร์แรกของเปเย ถือว่าใช้เงินไม่ธรรมดา เขาเติมดิย็อป (22 ล้านปอนด์), ยาร์โมเลนโก้ (17), เฟลิเป้ แอนเดอร์สัน (36) รวมตัวอื่นๆ จนยอดรวมไปแตะ 90 ล้านปอนด์เลยทีเดียว
การทุ่มขนาดนี้ แน่นอนว่าผู้หลักผู้ใหญ่ อยากเห็นเปเยปลุกปั้นทีมให้มีหน้ามีตา ยิ่งสนามก็สร้างใหม่ แฟนบอลก็เป็นพวกเดนตายเยอะ ทิศทางที่วางมาน่าจะถูกต้อง
แม้ซีซั่นแรกของเปเยกับทีม จะพาทีมจบได้แค่อันดับ 13 ซึ่งจะว่าไปแย่กว่าอันดับที่มอยส์ทำไว้เสียอีก แต่อย่างที่บอกว่า ทุกคนมองกันที่ระยะยาว การลงทุนในซัมเมอร์นี้ ก็ตามมาต่อเนื่อง
เปเยใช้เงินอีกราว 70 ล้านปอนด์ คว้านักเตะอย่างฟอนาลส์ และเฮลแลร์ มาร่วมทีม แถมยังสามารถรั้งพวกลานซินี่, ไรซ์ หรือเฟลิเป้ แอนเดอร์สัน ไว้กับทีมได้ครบทุกราย
แม้จะเปิดหัวด้วยการโดนซิตี้บุกมาถล่ม 5-0 แต่หลังจากนั้นอีก 6 เกม เวสต์แฮมไม่แพ้ใครเลย แถมยังชนะทีมใหญ่อย่างแมนฯ ยู ได้อีก จนอันดับขึ้นมาแตะที่ 5 ดูมีทิศทางที่ดีอย่างที่ทุกคนในสโมสรคาดหวัง
อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นอีก 5-6 เกม ปัญหาความไม่สม่ำเสมอของเวสต์แฮม ก็วนเวียนกลับมาอีกแล้ว พวกเขาแพ้ถึง 4 ใน 5 นัดหลังสุด ไม่ชนะใครเลย เกมการเล่นก็เริ่มกั๊ก จะรุกก็ไม่คม จะรับก็ไม่เหนียว 5 นัดหลังสุด พวกเขาเสียถึง 11 ประตู
จากที่ดูมีทรงที่ดี กระแสมันก็กลับตาลปัตร เริ่มมีข่าวว่าแฟนบอลบางส่วน และบอร์ดบริหาร ไม่พึงพอใจ แม้ต่อมา เวสต์แฮมจะออกข่าวว่าสโมสรยังพร้อมสนับสนุน แต่ก็มีดอกจันตัวโตๆ ว่าเปเยต้องปรับปรุงผลงานด่วน
เคสนี้ชัดเลย ว่าเพียงแค่ 5-6 นัด ทุกสิ่งทุกอย่างมันพลิกผันได้เสมอ ยิ่งคุณเป็นทีมที่คาดหวังว่ากำลังโต (ทีมแบบนี้เยอะเลย) แป๊บๆ จากอันดับ 5 หล่นมาอันดับ 16 กลายเป็นถอยหลัง ประสบการณ์มากมาย ก็อาจไม่ช่วยเซฟจากโดนเด้ง
เคส 4 : เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่
เคสสุดท้าย เป็นเคสที่ประหลาดอยู่เหมือนกัน เพราะเขาคือ “พอช” เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ที่ซีซั่นที่แล้ว พาทีมทะลุเป้าหมายทุกอย่าง ได้เข้าชิง UCL แบบเหนือความคาดหมาย แถมพาทีมจบใน 4 อันดับแรก 4 ซีซั่นติดต่อกัน
เรื่องฝีมือการคุมทีม ไม่มีใครสงสัยในกุนซืออาร์เจนไตน์รายนี้อยู่แล้ว ไม่งั้นเขาคงไม่มีข่าวกับทีมใหญ่มากมายทั้ง แมนฯ ยู, เรอัล มาดริด หรือบาเยิร์น มิวนิค แต่สิ่งที่ได้รับการปรบมือเพิ่มเติม นั่นคือซีซั่นที่แล้ว เขาไม่ลงทุนซื้อตัวเลย แต่กลับสร้างผลงานได้น่าตื่นตาตื่นใจ
แม้สุดท้ายจะผิดหวังในนัดชิงดำกับ “หงส์แดง” ใน UCL Final แต่ทุกสิ่งก็ดูเป็นไปด้วยดี ยกเว้นคำพูดของพอช ช่วงปลายซีซั่นที่แล้ว
เขาหล่นประโยคพูดทำนองว่า หากสเปอร์ได้เป็นแชมป์ UCL จริงๆ เขาอาจจะออกไปหางานใหม่ ทั้งๆ ที่ก่อนนั้น เขาเคยบอกว่าอยากจะคุม “ไก่เดือยทอง” ไปอีกแสนนาน
ไม่รู้เพราะความเบื่อ หรือไฟที่มอดลงกับทีมแห่งนอร์ธ ลอนดอน แม้แกจะลงทุนราว 80 ล้านปอนด์ เสริมทัพในซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่ฟอร์มทีมซีซั่นนี้ กลับไม่เป็นไปอย่างที่คาดไว้
ในลีกกว่าจะชนะนัดนึงแสนยากเย็น 12 นัดพวกเขาชนะแค่ 3 นัด ปัจจุบันอยู่อันดับ 14 แถมใน UCL ยังมีแมทช์ที่โดนบาเยิร์น บุกมาถลุง 7-2 ให้เป็นตราบาปอีก
นอกเหนือจากผลงานทีมที่ตกลง และพอชดูทำอะไรก็ติดขัด พวกเขายังมีปัญหากับ 3 นักเตะแกนหลัก อัลเดอร์ไวเรล, แฟร์ทองเก้น และอีริคเซ่น ที่สโมสรไม่สามารถต่อสัญญาสำเร็จ และปล่อยให้สัญญาเหลือปีสุดท้าย ความกระตือรือร้นจึงเป็นเครื่องหมายคำถาม
ปัญหาต่างๆ ทำให้พอช ไม่สามารถหา 11 ตัวจริงของเขาได้ลงตัว อย่างตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ 2 นัดหลังสุด เขาตัดสินใจใช้ ดาวินซอน ซานเชซ ลงยืนคู่กับดายเยอร์ แทนที่จะเป็นอัลเดอร์ไวเรล ซึ่งดูยังไงก็ขัดตา
แม้ในแนวรุก ทีมจะได้อัลลี่ กลับมาฟิตอีกครั้ง และมีซน เฮือง มิน และเคน ที่ฝากความหวังได้ แต่ผลงานโดยรวม กับอันดับที่เป็นอยู่ในลีก มันเกินรับได้ เป็นที่มาของเสียงวิจารณ์ว่า พอชดูเน้น UCL มากกว่าในลีก ยังไงพิกล
กับเคสนี้ ถึงความสำเร็จที่พอชทำให้ทีมมา จะล้นเหลือเกินกว่าจะปลดเขาเพียงดูฟอร์ม 10-15 นัด แต่ด้วยความกระตือรือร้นในสโมสรมันดิ่งลงเหว ว่ากันว่าหาก “ไก่เดือยทอง” บุกไปพลาดท่าแพ้เวสต์แฮมขึ้นมา พวกเขาอาจมีการเปลี่ยนแปลงกุนซือเป็นครั้งแรก ในรอบ 5 ปี
สังเกตว่าปัจจัยของแต่ละเคสนั้นแตกต่างกันออกไป ทั้งเรื่องของความคาดหวัง การลงทุน และความเป็นไปของฟอร์มการเล่น ซึ่งทุกเคส ผลงานและชื่อเสียงเก่า ไม่ได้ช่วยให้พวกเขารอดพ้นความกดดันได้เลย
อย่างไรก็ดี สิ่งที่เหมือนกันของทุกเหตุการณ์ นั่นคือทั้ง 4 กุนซือต้องเร่งหาจุดเปลี่ยนโดยเร็วที่สุด เพราะไม่งั้นอากาศที่หนาวยะเยือกปลายปีของเมืองผู้ดี อาจจะไม่ช่วยบรรเทาอุณหภูมิบนเก้าอี้ของพวกเขาเลย
Picture : The Sun, The National, Bournemouth Echo, talkSPORT, Football365, Metro, Bavarian Football Works, FourFourTwo, Mirror, Liverpool Echo, Sky Sports, Arsenal.News, TEAMtalk, Planet Football, TSN, Forbes, Squawka, Cartilage Free Captain