ฟุตบอลเป็นกีฬาปะทะ ที่เล่นกันด้วยพละกำลังอยู่ตลอด อาการบาดเจ็บของนักเตะ จึงเป็นของคู่กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาการบาดเจ็บมีทั้งเล็กน้อย เดี๋ยวก็กลับมาวิ่งหวดบอลต่อได้สบาย หรือแบบหนักหน่วง พักกันยาวหลายเดือน หรือเป็นปีก็มี
เช่นเดียวกับวิถีชีวิตของนักฟุตบอล ที่มันก็ต้องมีทั้งรุ่งและร่วง ถ้ามันร่วงเพราะเราพยายามสุดทางแล้ว แต่มันไม่ประสบความสำเร็จ ก็คงโอเค แต่ถ้าฝีเท้าก็ไม่ได้แย่ แต่ต้องกลับมาเจอทางตัน เพราะสภาพร่างกายล่ะ? มันคงจะน่าเห็นใจไม่น้อย
วันนี้ เลยอยากจะหยิบเอา 4 เรื่องราวของ 4 นักเตะ ที่ไม่อาจไปถึงฝั่งฝัน เพราะมีอุปสรรคด้านร่างกายมาเกี่ยวข้อง เผื่อจะได้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งของฟุตบอล ที่บางที ฝีเท้าที่ดี อาจจะแพ้วาสนา ที่เราเอง ไม่สามารถควบคุม หรือคาดคิดถึงมันได้
สตีฟ ดาร์บี้ (แขวนสตัดท์ อายุ 29 ปี)
แมทช์อุ่นเครื่องปรีซีซั่นของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่บุกเยือนแบรดฟอร์ด เมื่อ 14 ก.ค. มีความน่าสนใจอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกคือ มันเป็นอีกแมทช์ ที่ลูกทีมของเจอร์เก้น คลอปป์ จะใช้เรียกความฟิต กับอย่างที่ 2 ที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือเป็นการหารายได้ สมทบทุนให้กับ “มูลนิธิ สตีฟ ดาร์บี้”
“สตีฟ ดาร์บี้” เป็นสเกาเซอร์โดยแท้ เกิดที่เมืองลิเวอร์พูล เข้าเป็นเด็กฝึกให้หงส์แดง เล่นในตำแหน่งแบ็คขวา และเคยเป็นถึงกัปตันทีมชุดเล็ก ที่คว้าแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ ด้วย
เขาไต่เต้ามาตามลำดับ จนได้เล่นให้ทีมชุดใหญ่ราว 6-7 นัด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นตัวสำรอง หรือลงเล่นในถ้วยเล็ก และเมื่อเขาไม่สามารถแจ้งเกิดในทีมชุดใหญ่ได้ ดาร์บี้ก็ถูกปล่อยตัว ตอนปี 2012
เส้นทางค้าแข้งของเขานับจากโดนปล่อยออกจากทีมดังแห่งเมอร์ซี่ไซด์ ก็ย้ายไปอยู่กับแบรดฟอร์ด ซึ่งตอนนั้นส่วนใหญ่วนเวียนอยู่ในลีกวัน และลีกทู เขาลงเล่นให้ทีมเกิน 200 นัด เคยได้รับการแต่งตั้งเป็นกัปตันทีม และเป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำปีของสโมสร ก่อนที่จะย้ายไปร่วมทีมโบลตัน หลังหมดสัญญาในปี 2017
แม้จะไม่ค่อยได้ลงเล่น ในฤดูกาลแรกกับโบลตัน ในศึกแชมเปียนชิพ แต่ชีวิตส่วนตัว ถือว่าดาร์บี้กำลังไปได้สวย หลังพึ่งแต่งงานกับ “สเตฟ เฮาจ์ตัน” นักฟุตบอลหญิงทีมชาติอังกฤษ เขาก็มาพบจุดพลิกผัน เมื่อทราบว่าตัวเองเป็นโรคที่เรียกว่า MND หรือ Motor Neuron Disease
MND เป็นโรคที่พบได้น้อยครั้งมาก อาการอันร้ายกาจของมัน คือส่งผลโดยตรงต่อปลายประสาท ทำให้การใช้งานกล้ามเนื้อ และอวัยวะของร่างกายไม่เหมือนเดิม การหายใจเองก็มีปัญหา ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้เขาต้องประกาศแขวนสตัดท์ ในวัยเพียง 29 ปี อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สิ่งที่น่ายกย่องของดาร์บี้ คือการต่อสู้กับโรคของตัวเองมันก็ยากเย็นมากแล้ว แต่เขากลับร่วมมือกับ “คริส ริมเมอร์” แฟนบอลหงส์แดง ซึ่งมีอาการ MND เหมือนกัน ก่อตั้งมูลนิธิขึ้น เพื่อระดมทุนช่วยเหลือ และให้คำปรึกษาผู้คนที่ต้องโชคร้าย เป็นโรค MND และอาจจะไม่ได้รับโอกาสที่ดีเหมือนเขา มันจึงเป็นเหตุผลหลัก ของการโม่แข้งอุ่นเครื่องระหว่างแบรดฟอร์ด กับ ลิเวอร์พูล ที่พึ่งเตะกันไป
ภาพ ดาร์บี้ ที่แม้อาการจะดีขึ้นมาก แต่ร่างกายยังคงซูบผอม กล่าวขอบคุณต่อแฟนบอลเต็มสนาม อันเป็นสถิติใหม่ของแบรดฟอร์ดจำวน 24,343 คน ร่วมกับริมเมอร์ ถือเป็นภาพน่าประทับใจ ที่ย้ำเตือนเราว่า การให้ไม่มีที่สิ้นสุด โดยเฉพาะในแวดวงลูกหนัง ที่ทำให้คำว่า “มากกว่าฟุตบอล” เห็นชัดเป็นรูปธรรม
เซ็ธ จอห์นสัน (แขวนสตัดท์ อายุ 28 ปี)
หากใครเล่น CM ยุคเก่า จะจำชื่อของ “เซ็ธ จอห์นสัน” ได้ดี มิดฟิลด์ตัวกลางที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรง ไม่ได้โด่งดังแค่ในเกม แต่ยังเป็นชื่อ ที่เตะหูเตะตาทีมในพรีเมียร์ลีกมากมาย หลังเห็นเด็กคนนี้เล่นให้กับครูว์ อเล็กซานดร้า ซึ่งมีปรมาจารย์การปั้นอย่าง “ดาริโอ เกรดี้” เป็นผู้การันตี
การย้ายทีมสู่ลีกสูงสุดของจอห์นสัน เกิดขึ้นหลังจากเขาทำหน้าที่สุดฝีมือในการช่วยให้ครูว์ รอดตกชั้น โดยเขาย้ายไปดาร์บี้ในปี 1999 ก่อนจะรักษาฟอร์มที่น่าตื่นตาตื่นใจ จนได้มีส่วนร่วมในทีมชาติอังกฤษหนแรก ในอีกขวบปีให้หลัง และย้ายต่อ ด้วยค่าตัวระดับ 7 ล้านปอนด์ ไปยังทีม “ยูงทอง” ลีดส์ ยูไนเต็ด ซึ่งสมัยนั้น เป็นแหล่งซ่องสุมกำลังนักเตะดาวรุ่งชั้นยอด
กับการย้ายมาอยู่กับลีดส์ ในวัยแค่ 22 ปี น่าจะเป็นกราฟขาขึ้นของเจ้าตัว แต่กลายเป็นอาการบาดเจ็บรุนแรง ทำให้เขาต้องห่างหายหน้าไปจนคนแทบจะจำไม่ได้ ตลอดเวลา 4 ปีกับลีดส์ เขาลงเล่นในลีกไปแค่ 54 นัด ก่อนจะถูกปล่อยตัวในปี 2005 หลังทีมตกชั้นมาได้ 1 ฤดูกาล
เขากลับมายังดาร์บี้ ทีมที่เคยทำให้เขาเจิดจรัส เขาเริ่มกลับมาเล่นได้อย่างต่อเนื่อง ลงสนามให้ดาร์บี้ ไปเกินกว่า 50 นัด และช่วยให้ทีมสามารถชนะเพลย์ออฟในปี 2007 ได้สิทธิ์เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุด แต่โชคร้ายมันยังเล่นงานเขาไม่เลิก เขาได้รับบาดเจ็บหนักที่เข่าอีกครั้ง ก่อนนกหวีดในนัดชิงเพลย์ออฟจะจบลงแค่ 3 นาที
นอกเหนือความหวังที่จะกลับไปเล่นในพรีเมียร์ลีกอีกซักครั้ง ต้องพังทลาย เขาไม่แม้จะกลับมาเล่นได้อีกเลยซักนัดด้วยซ้ำ ด้วยร่างกายที่เปราะบางเกินทน เขาแยกทางกับดาร์บี้อีกครั้งหลังจบซีซั่น และตัดสินใจแขวนสตัดท์ในที่สุด ด้วยอายุแค่ 28 ปี
แม้อาการบาดเจ็บที่โหดร้าย จะทำลายอาชีพค้าแข้งที่ควรจะรุ่งเรืองกว่านี้ของเขา แต่จอห์นสันก็เคยกล่าวว่า จุดที่เขาก้าวขึ้นไปถึงในอาชีพ ทำให้เขาพึงพอใจแล้ว ในฐานะเด็กที่เล่นฟุตบอลคนหนึ่งจาก “เดวอน” เมืองเล็กๆ ที่ไม่ค่อยได้ผลิตนักฟุตบอลประดับวงการนัก
ไมเคิล จอห์นสัน (แขวนสตัดท์ อายุ 24 ปี)
หนึ่งในมิดฟิลด์ดาวโรจน์ทีมชาติอังกฤษชุดเล็ก ซึ่งได้รับการคาดหมายว่าจะกลายเป็นซูเปอร์สตาร์คนสำคัญของทีม “สิงโตคำราม” เคยได้รับการยกย่องจาก “ดีทมาร์ ฮามันน์” ว่าพรสวรรค์ของจอห์นสัน ทำให้นึกถึง “มิชาเอล บัลลัค” เช่นเดียวกับ “สเวน โกรัน อิริกส์สัน” ที่เคยกล่าวชมว่า เขาจะก้าวไปเป็นนักเตะชั้นยอด
ในช่วงเยาวชน จอห์นสันย้ายทีมในระดับอคาเดมี่ ไปอยู่กับหลายสโมสร ทั้งลีดส์, เอ็กเซลซิเออร์ (ในฮอลแลนด์) และเอฟเวอร์ตัน ก่อนจะถูกดึงมาร่วมอคาเดมี่ของ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และได้ก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ที่นั่น
จอห์นสัน ถือเป็นเด็กดาวรุ่งที่มีฝีเท้าเกินวัย ร่วมกับ “ไมก้าห์ ริชาร์ดส์” จนได้ประเดิมเล่นทีมชุดใหญ่ครั้งแรกในปี 2006 ในยุคกุนซือ “สจ๊วต เพียร์ซ” ซึ่งตอนนั้นเขาอายุแค่ 18 ปี
ในฤดูกาลต่อมา 2006/07 ไอ้หนูจอห์นสัน เริ่มแผลงฤทธิ์ และมีบทบาทในทีมชุดใหญ่ของซิตี้ มากยิ่งขึ้น เคยมีช่วงที่เขาได้ลงเป็นตัวจริงให้เรือใบสีฟ้า ในพรีเมียร์ลีก ติดต่อกันถึง 7 นัด ก่อนจะได้รับบาดเจ็บแฮมสตริงไป
หลังจากนั้น แม้ฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นของเขาจะยังคงแสดงออกมาผ่านฝีเท้า แต่อาการบาดเจ็บก็เริ่มมาเยี่ยมเยียนหนักข้อขึ้นทุกที โดยเฉพาะอาการบาดเจ็บบริเวณท้อง ซึ่งทำให้เขาต้องผ่าตัด และรักษายาวนานในช่วงปลายซีซั่น 2007 ต่อด้วยต้นซีซั่น 2008
อาการที่บริเวณท้องเหมือนเดิม กลับมาเล่นงานเขาอีกครั้ง ขณะที่กำลังโชว์ฟอร์มได้ดีในซีซั่น 2008/09 จนทำให้เขาพลาดการเล่นส่วนมากในปีนั้น พอกลับมาซ้อมพรีซีซั่น 2009/10 ได้ ก็ดันมาเจ็บตั้งแต่ช่วงวอร์มอัพ ในแมทช์อุ่นเครื่อง ไปอีก
แม้จะเจ็บบ่อย แต่จอห์นสันที่อายุยังน้อย ยังคงสู้ไม่ถอย เขากลับมายิงประตูครั้งแรกได้ในรอบปี ในลีกคัพ ในช่วงเดือน ต.ค. 2009 แต่ก็ได้รับบาดเจ็บที่เข่ารุนแรงอีกจนได้ ในอีกไม่ถึง 2 เดือนถัดมา และหายหน้าหายตาไปนาน จนแทบไม่ได้ลงเล่น
ในซีซั่น 2011/12 เขาหวังกู้ศรัทธาคืนมา ด้วยการย้ายแบบยืมตัวไปเล่นกับเลสเตอร์ ซึ่งตอนนั้นอยู่ในระดับแชมเปี้ยนชิพ แต่หลังจากลงเล่นไปได้เพียง 9 นัด เขาก็ได้รับบาดเจ็บอีก จนต้องปิดเทอมยาวอีกหน
หลังจากไม่สามารถกลับมาลงสนามได้เลย ซิตี้ตัดสินใจปล่อยตัวเขาในช่วงต้นปี 2013 โดยมีสื่อจับภาพของจอห์นสัน ซึ่งมีน้ำหนักตัวเยอะขึ้นมาก แทบไม่เหลือสภาพนักเตะดาวรุ่งพุ่งแรง ที่ชาวอังกฤษคาดหวัง
จอห์นสัน ที่แย่ทั้งร่างกาย และจิตใจ มีปัญหาโดนจับเพราะเมาแล้วขับ ในช่วงปี 2012 ถึง 3 ครั้ง เขาเคยให้สัมภาษณ์สื่อหลังจากถูกซิตี้ปล่อยตัวว่า เขาพยายามหาหนทางที่จะรักษาอาการบาดเจ็บเรื้อรังของเขาแล้ว แต่ผลไม่เป็นดั่งหวัง สภาพจิตใจก็ย่ำแย่ จนหลายครั้ง ต้องปรึกษากับจิตแพทย์ เพื่อเยียวยา
คำพูดที่โด่งดัง ครั้งสุดท้ายของจอห์นสัน คือเหตุการณ์ที่สื่อพยายามไปขอสัมภาษณ์จอห์นสันที่สภาพอ้วนฉุ แล้วเจ้าตัวสวนกลับด้วยอารมณ์ว่า จะเป็นพระคุณมาก หากทุกคนเลิกยุ่งกับเขา และปล่อยให้เขาใช้ชีวิตตามลำพัง ก่อนจะเดินหนีจากไป เหมือนอาชีพค้าแข้ง ที่ไม่เคยหวนกลับมาหาเขาอีกเลย
ร็อบ โจนส์ (แขวนสตัดท์ อายุ 27 ปี)
อีกหนึ่งแบ็คขวาที่เก่งที่สุดคนนึงในยุคพรีเมียร์ลีกของ “หงส์แดง” แต่ในทางกลับกัน เขาก็เป็นนักเตะที่อาภัพในเรื่องของอาการบาดเจ็บที่สุดคนนึงเช่นกัน
โจนส์ เป็นอีกหนึ่งนักเตะที่เริ่มต้นอาชีพกับครูว์ อเล็กซานดร้า โดยในช่วง 3-4 ปีที่เขาอยู่กับทีม ครูว์เป็นเพียงทีมระดับดิวิชั่น 4 และในวันที่เขาเตะตา “แกรม ซูเนสส์” ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ก็ดันเป็นวันที่ กุนซือครูว์ อย่าง “ดาริโอ เกรดี้” ชวนซูเนสส์ ไปดูแบ็คอีกคน อีกต่างหาก
ไม่รู้ด้วยโชคชะตา หรืออะไรก็ตาม โจนส์เล่นในแมทช์นั้น ได้อย่างโดดเด่นเกินกว่าคนที่ซูเนสส์ควรจะจับตามอง ซูเนสส์เลยตัดสินใจเลือกเซ็นเขาแทน ในราคา 300,000 ปอนด์ ในขณะที่อายุของโจนส์ ยังไม่เต็ม 20 ปีดี
หลังเซ็นสัญญาเพียง 48 ชั่วโมง ซูเนสส์แสดงความมั่นใจ ด้วยการจัดโจนส์ลงเล่นตัวจริงในเกม “แดงเดือด” ที่แอนฟิลด์ทันที และเขาก็ไม่ทำให้เจ้านายผิดหวัง เมื่อดวลกับ “ไรอัน กิกส์” เด็กหนุ่มปีกซ้ายของ “อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน” ได้อย่างสูสี โดยเขาไม่เสียท่าให้กับความเร็วของกิกส์เลย ชื่อของไอ้หนุ่มจากดิวิชั่น 4 เลยกลายเป็น Talk of the Town
หลังจากนั้น เขายึดตัวจริงได้ต่อเนื่อง เป็นส่วนสำคัญให้ทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ และเริ่มได้ติดทีมชาติอังกฤษ แต่อาการบาดเจ็บก็เล่นงานเขา จนทำให้เขาต้องพลาดไปลุยยูโร 1992 ทั้งที่เขาเริ่มยึดตำแหน่งแบ็คขวาตัวจริงในทีม “สิงโตคำราม” ได้แล้ว
หลังจบฤดูกาลแรกอันมหัศจรรย์ของเขากับลิเวอร์พูล แม้โอกาสกลับไปติดทีมชาติอังกฤษ จะเหมือนกลายเป็นเส้นขนานไป แต่ในทีมหงส์แดง โจนส์ยังถือเป็นนักเตะตัวหลักอยู่ แม้จะเป็นยุคที่ “รอย อีแวนส์” เข้ามาคุมทีม และเลือกใช้ระบบวิงแบ็ค ซึ่งทำให้เขาต้องย้ายไปเล่นด้านซ้าย เพื่อหลีกทางให้ “เจสัน แม็คเอเทียร์” ก็ตาม
พอจบซีซั่น 1995/96 เขาต้องร้างสนามไปนานถึง 6 เดือน จากอาการบาดเจ็บที่หลัง ซึ่งรุนแรงกว่าที่คิด หลังจากนั้นเขาก็เริ่มสอดแทรกเข้าสู่ทีมตัวจริงได้ยากขึ้นทุกที แถมยังมีอาการบาดเจ็บหนักที่เข่าซ้าย ซึ่งต้องผ่านการผ่าตัดถึง 3 ครั้ง เขาจึงถูกปล่อยออกจากทีมไปในที่สุด
เวสต์แฮม ตัดสินใจเซ็นสัญญากับเขาในฐานะ Free Agent แต่โจนส์ก็ลงเล่นให้ทีม “ขุนค้อน” ได้เพียงนัดเดียว ในรายการอินเตอร์ โตโต้ คัพ ซึ่งทำให้อาการบาดเจ็บเข่ากำเริบ และต้องประกาศแขวนสตัดท์ในเวลาต่อมาไม่นาน ด้วยวัยเพียงแค่ 27 ปี
นักเตะที่สนิทสนมกับโจนส์ อย่าง “สตีฟ แม็คมานามาน” เคยเล่าว่า เขาต้องพยายามพูดคุย และติดต่อกับโจนส์อยู่ตลอด โดยเฉพาะช่วงที่เขาต้องแขวนสตัดท์ เพราะมันบั่นทอนกำลังใจของโจนส์เป็นอย่างมาก
หลังปรับตัวอยู่พักนึง โจนส์ และภรรยาของเขา ก็หันมาเปิดอคาเดมี่สำหรับเด็กที่รักในการเล่นฟุตบอล อคาเดมี่ของเขาประสบความสำเร็จดี จนมีหลายสาขาในอังกฤษ และขยายไปยังตะวันออกกลาง อีกด้วย
และด้วยประสบการณ์ที่มากขึ้นในระดับอคาเดมี่ โจนส์ จึงได้กลับมาช่วยงานลิเวอร์พูล อีกหน ด้วยการเข้ามาเป็นหนึ่งในสตาฟโค้ชทีมชุดเยาวชน ในปี 2013 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ลูกชายของเขา เริ่มตามหาฝันแบบคุณพ่อ ในเมลวู้ดด้วย
Picture : Liverpool FC, The Independent, Football Fancast, acast, Goal.com, Chronicle Live, Bradford City, The Telegraph, This is Anfield, Derby Telegraph, Bwin, Planet Football, Bitter and Blue, Daily Express, 90Min, Zimbio, Foot and Ball, Liverpool Echo