10 อันดับการคัมแบ็คอันเลื่องลือของ “หงส์แดง” - The Macho
 
Roral Enfield - Hunter 350
728x150 - Nissan Almera
728x150 - Hunter4
10 อันดับการคัมแบ็คอันเลื่องลือของ “หงส์แดง”

เรื่องของการ “คัมแบ็ค” ในโลกฟุตบอลนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นกันบ่อยนักหรอกนะครับ เพราะไม่เพียงแต่ฝีเท้าที่ดีแล้ว เรื่องของ “ความเชื่อ” และ “หัวจิตหัวใจ” เป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ที่จะพลิกสกอร์จากผู้พ่ายแพ้ ให้กลับกลายมาเป็นผู้ชนะในบั้นปลายได้

อย่างการคัมแบ็คแบบโกงความตายของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ล่าสุด ที่กลับมาเข้ารอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ ลีก เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ด้วยการเอาชนะ “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า ในแอนฟิลด์ 4-0 ทั้งๆ ที่นัดแรกบุกไปแพ้ความเฉียบขาดของอาซุลการ่ามาราบคาบถึง 3-0

คัมแบ็คยิ่งใหญ่ล่าสุดของหงส์แดง ที่เข้าสโลแกนกับเสื้อโม ซาล่าห์เป๊ะ

พูดเรื่องการ “คัมแบ็ค” กับ “หงส์แดง” แล้ว แม้ทีมดังแห่งลุ่มแม่น้ำเมอร์ซี่ จะไม่ได้สร้างปรากฏการณ์แบบนี้ ได้บ่อยครั้งนักในยุคพรีเมียร์ลีกเท่ากับยูไนเต็ด แต่มันก็มีอยู่หลายนัดเหมือนกัน ที่หงส์แดงแสดงถึง DNA ที่ไม่ยอมตาย และสู้เต็มที่ถึงหยดสุดท้าย

ความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้นี้ นำผลการแข่งขันที่น่าทึ่งมาฝากแฟนบอลอันเป็นที่รักของพวกเขาเสมอ เหมือนในนัดล่าสุดที่ทีมแสดงว่า “ใจ” ใหญ่กว่าเหล่าซูเปอร์สตาร์ระดับโลกจากแคว้นคาตาลันมากโข

การคัมแบ็ค ไม่ใช่แค่ฝีเท้า เรื่องของใจ ความเชื่อ และแรงสนับสนุน ต้องมาด้วยกัน

เพื่อพิสูจน์วลี “จงอย่ายอมแพ้” ของลิเวอร์พูลให้ชัดเจนขึ้น วันนี้เราเลยขอแนะนำให้รู้จักอีก 10 อันดับการคัมแบ็คอันลือลั่นของหงส์แดง มาให้เสพกัน

อันดับ 10 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2-3 ลิเวอร์พูล
พรีเมียร์ ลีก (2008 / ซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์ สเตเดี้ยม)

เดิร์ค เคาท์ จอมวิ่งไม่มีหมด ที่อยู่ถูกที่ถูกเวลาในแมทช์คัมแบ็คปราบซิตี้

“เรือใบสีฟ้า” ที่เริ่มลงทุนเสริมผู้เล่นมากมายเป็นฤดูกาลแรก ภายใต้การคุมทีมของมาร์ค ฮิวจ์ ออกนำ “หงส์แดง”​ ผู้มาเยือน 2-0 ในครึ่งแรกจากสตีเฟ่น ไอร์แลนด์ และฆาเบียร์ การ์ริโด้

ในช่วงพักครึ่ง ไม่ว่าจะด้วยการปรับแผนของราฟา เบนิเตซ หรือการกระตุ้นของเจมี่ คาร์ราเกอร์ นักเตะสเกาเซอร์จอมโวยวายในห้องเปลี่ยนชุด ทำให้หงส์แดงกลับลงมาเล่นแบบหนังคนละม้วนในครึ่งหลัง

เฟร์นานโด ตอร์เรส ยิง 1 โหม่ง 1 พาลิเวอร์พูลกลับมาเสมอ 2-2 หลังผ่านไป 73 นาที โดยระหว่างนั้น อีกเหตุการณ์สำคัญคือการโดนไล่ออกของพาโบล ซาบาเลต้า ซึ่งทำให้หงส์แดงได้เปรียบขึ้นไปอีก

หงส์แดงบดอยู่นาน และในที่สุดก็มาได้ประตูชัยอันล้ำค่าจากเดิร์ค เคาท์ ที่พยายามไม่หยุด ในนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน

อันดับ 9 : ลิเวอร์พูล 3-1 แซงต์ เอเตียน
ยูโรเปี้ยน คัพ (1977 / แอนฟิลด์)

เดวิด แฟร์คลัฟ กองหน้าสเกาเซอร์ ตัวสำรองทีเด็ดผู้ยิงประตูส่งทีมเข้ารอบ

รอบ 3 ของศึกถ้วยใหญ่ยุโรปในสมัยนั้น เล่นกัน 2 เลก เลกแรก “หงส์แดง” ออกไปแพ้แชมป์ลีกฝรั่งเศสอย่างแซงต์ เอเตียนมา 0-1 ก่อนจะกลับมาเล่นกันในเลก 2 ที่เดอะ ค็อป แห่กันเข้ามาเชียร์กันแน่นสนาม เพื่อหวังช่วยให้ทีมรักพลิกสถานการณ์

เควิน คีแกน ทำประตูให้ทีมออกนำตั้งแต่นาทีที่ 2 แต่แล้วทุกอย่างก็แทบพังทลาย เมื่อโดมินิก บาเธนา ที่ยิงประตูชัยในเลกแรก หลุดเข้าไปยิงประตูทีมเยือนล้ำค่าตีเสมอให้แซงต์ เอเตียนในช่วงต้นครึ่งหลัง

ลิเวอร์พูลโต้กลับทันควันด้วยพลังหนุนหลังจากเดอะ ค็อป เรย์ เคนเนดี้ ทำประตูให้ทีมขึ้นนำอีกครั้งในนาทีที่ 59 แต่สกอร์ชนะ 2-1 ไม่เพียงพอ จนกระทั่งเข้าสู่ช่วง 6-7 นาทีสุดท้าย

และแล้วศูนย์หน้าสำรอง สเกาเซอร์แท้ๆ อย่างเดวิด แฟร์คลัฟ ก็แผลงฤทธิ์กดประตูชัยให้หงส์แดงได้สำเร็จ และพาทีมผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศด้วยสกอร์รวม 2 นัด 3-2

ท้ายที่สุดในซีซั่นนั้น หงส์แดงสามารถเถลิงแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพสมัยแรกได้สำเร็จ หลังล้มโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ในรอบชิงที่กรุงโรม 3-1

อันดับ 8 : นอริช ซิตี้ 4-5 ลิเวอร์พูล
พรีเมียร์ลีก (2016 / แคร์โรว์ โร้ด)

ประตูชัยของอดัม ลัลลาน่า ทำเอาทั้งทีมดีใจกันแทบเสียสติ

แม้แมทช์นี้จะไม่ถึงกับสลักสำคัญเหมือนแมทช์อื่น แต่ขอเลือกมันติดอันดับ เพราะมันเป็นการคัมแบ็คที่โคตรมันในยุคของเจอร์เก้น คลอปป์ ซึ่งทำให้เราได้เห็นคาแรกเตอร์ของเขาได้ชัดเจนขึ้นในเวลานั้น

คลอปป์เข้ามารับงานแทนเบรนแดน รอดเจอร์ส ในช่วงเดือนตุลาคม 2015 และพยายามจะปรับเปลี่ยนการเล่น โดยนำเอาสไตล์วิ่งสู้ฟัดมาใช้กับลิเวอร์พูลที่กำลังเป๋ไปเป๋มาในช่วงท้ายของบีร็อด

หงส์แดงต้องไปเยือนนอริช ทีมที่กำลังดิ้นรนหนีตกชั้น และออกนำไปก่อนจากโรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่ แต่เจ้าถิ่นก็ตอบโต้ด้วยการวิ่งสู้ฟัด และเล่นบอลเร็ว จนกลับมาแซงนำ 3-1 เมื่อผ่านไป 54 นาที

ผู้เล่นนอริชร่วมเฮกับเซบาสเตียน บาสซงที่ยิงประตูตีเสมอ 4-4 ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ

ลูกทีมของคลอปป์พยายามรวบรวมสติ และใช้ความแน่นอนกว่าจู่โจมนอริชที่เกมรับอ่อนแอ จนทีมกลับมาแซงนำแบบรวดเดียวเป็น 4-3 จากประตูของเจมส์ มิลเนอร์

ความระทึกยังไม่จบ เมื่อเซบาสเตียน บาสซง เซ็นเตอร์ฮาล์ฟของนอริชเติมขึ้นมากดประตูจากหัวกระโหลกเข้าไปแบบเหลือเชื่อ ตีเสมอเป็น 4-4 ในขณะเหลือเวลาในการทดเจ็บแค่ 2-3 นาที

ใครก็คิดว่าแมทช์นี้จบ 4-4 มันก็บ้ามากแล้ว แต่หงส์แดงกลับรวมใจครั้งสุดท้าย คลอปป์ส่งสตีเฟ่น คอล์กเกอร์ เซ็นเตอร์ฮาล์ฟร่างใหญ่ขึ้นไปเล่นหน้าเป้า และในท้ายที่สุดอดัม ลัลลาน่า ก็มายิงประตูให้ทีมชนะ 5-4 ชนิดที่ไม่มีใครเก็บอาการอยู่กันอีกต่อไป

อันดับ 7 : ลิเวอร์พูล 3-1 โอลิมเปียกอส
ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ ลีก (2004 / แอนฟิลด์)

ถ้าไม่มีลูกวอลเล่ย์ลูกนั้นกับโอลิมเปียกอส เราคงไม่ได้เห็นสตีวี่ชูถ้วยที่อิสตันบลู

ก่อนที่จะเกิดปาฏิหาริย์แห่งอิสตันบลู หงส์แดงต้องเอาตัวรอดในนัดสุดท้ายรอบแบ่งกลุ่ม ที่พวกเขาต้องเก็บชัยชนะเหนือโอลิมเปียกอสด้วยผลต่าง 2 ประตูให้ได้ เพื่อผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์

แอนฟิลด์ต้องเงียบกริบ เมื่อริวัลโด้ เพลย์เมกเกอร์ตัวเก๋าปั่นฟรีคิกให้ทีมจากกรีซออกนำ 1-0 ในครึ่งแรก ก่อนที่หงส์แดงจะฮึดสู้ตามตีเสมอ 1-1 จากดาวรุ่งอย่างฟลอรองต์ ชินาม่า-ปงโกลล์ ในต้นครึ่งหลัง แต่หลังจากนั้นจนผ่านไป 80 นาที สกอร์บอร์ดยังไม่ขยับไปเกินกว่านั้น

นีล เมลเลอร์ อีกหนึ่งศูนย์หน้าดาวรุ่งพังประตูขึ้นนำ 2-1 ในนาทีที่ 80 ก่อนจะเกิดเหตุการณ์แอนฟิลด์แทบแตก เมื่อกัปตันสตีเว่น เจอร์ราร์ด วิ่งเข้ามาวอลเล่ย์ลูกซุกตาข่ายแบบเต็มเท้าก่อนหมดเวลาแค่ 4 นาที เป็นประตูสุดสำคัญให้ทีมคว้าชัยด้วยสกอร์ 3-1 และผ่านเข้ารอบไปเป็นแชมป์สมัยที่ 5 ในบั้นปลาย

อันดับ 6 : ลิเวอร์พูล 3-1 ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์
ลีก คัพ (1982 / เวมบลีย์)

เอียน รัช และเคนนี่ ดัลกลิช 2 กำลังสำคัญหงส์แดง ในเอฟเอ คัพ ไฟน่อล ที่ใส่กันไม่ยั้ง

หงส์แดงในยุคเกรียงไกรของบ็อบ เพสลีย์ ลงเล่นในเวมบลีย์นัดนี้เพื่อหวังป้องกันแชมป์ลีก คัพ (ตอนนั้นเรียกมิลค์ คัพ) ให้ได้ แต่เหล่าเดอะค็อปก็ต้องอึ้ง เมื่อความขยันของสตีฟ อาร์ชิบัลด์ ทำให้เขาหลุดเข้าไปยิงประเดิมประตูให้ “ไก่เดือยทอง” ขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 11

ลิเวอร์พูลพยายามเต็มที่ที่จะควานหาประตูตีเสมอ แต่สเปอร์ก็ยังป้องกันได้อย่างไม่ลดละ แต่ด้วยความมุ่งมั่นไม่มีหมด หงส์แดงมาตีเสมอจนได้ก่อนหมดเวลาแค่ 3 นาทีจากรอนนี่ วีแลน ทำให้เกมต้องยืดเยื้อไปสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษ

หงส์แดงที่เริ่มเหนือกว่า เปิดเกมรุกเข้าใส่ทันที และวีแลนคนเดิมก็พังประตูให้ทีมขึ้นนำจนได้ในนาทีที่ 111 ก่อนที่เอียน รัช จะปิดบัญชีในนาทีสุดท้าย ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นดับเบิลแชมป์ (แชมป์ลีก กับลีก คัพ) 3 ซีซั่นซ้อนของเพสลีย์ และลูกทีม

อันดับ 5 : ลิเวอร์พูล 4-3 นิวคาสเซิล
พรีเมียร์ลีก (1996 / แอนฟิลด์)

ลูกยิงเสาแรกของสแตน “เดอะ แมน”​ คอลลีมอร์ เป็นผลตัดสินในแมทช์สุดมัน

ฤดูกาล 1995/96 อันน่าตื่นเต้น นิวคาสเซิลของเควิน คีแกน ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงแชมป์กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบเต็มตัว โดยมีลิเวอร์พูลตามมาไม่ห่างในอันดับที่ 3

เกมการแข่งขันอยู่ในช่วงโค้งสุดท้าย สาลิกาดงหมายมั่นเต็มที่ที่จะบุกมากำชัยชนะที่แอนฟิลด์เพื่อบดบี้กับยูไนเต็ดต่อ โดยช่วงนั้นทั้ง 2 ทีม จัดได้ว่ามีเกมรุกที่ดุดัน และน่าจะแลกหมัดกันสนุกแน่นอน

ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ทำประตูนำให้หงส์แดงตั้งแต่ไก่โห่ แต่สาลิกาดงก็ใช้เวลาไม่นานพลิกกลับมานำ 2-1 อย่างรวดเร็วจากเลส เฟอร์ดินานด์ และดาวิด ชิโนล่า

เข้าสู่ครึ่งหลังฟาวเลอร์ยิงอีกประตูตีเสมอเป็น 2-2 แต่ก็ไม่วายโดนฟาอุสติโน่ อัสปริย่าซัดประตูให้ทีมดังจากแดนอีสานออกนำอีกครั้ง 3-2

สแตน คอลลีมอร์ที่ฟอร์มกำลังฮ็อต กดประตูสำคัญให้ทีมตีเสมอ 3-3 ได้สำเร็จ จนเข้าสู่ช่วงท้ายเกม ซึ่งรอย อีแวนส์ ตัดสินใจส่งตัวเก๋าอย่างเอียน รัช ลงสนามเพื่อหวังเผด็จศึกผู้มาเยือนเช่นกัน

จังหวะเฮประตู 4-3 ที่ซุ้มม้านั่งสำรอง ซึ่งบ่งบอกอารมณ์แตกต่างกันสุดขั้ว

และแล้วในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ การประสานงานของ 2 แข้งมากประสบการณ์อย่างรัช และจอห์น บาร์นส์ ก็นำไปสู่ประตูชัย 4-3 ที่ทำเอาแอนฟิลด์แทบแตก (ดูอยู่บ้าน บ้านก็แทบแตก ฮ่า) ภาพที่จับไปเห็นเควิน คีแกน อดีตฮีโร่ที่รักของหงส์แดงทรุดลงกับป้ายข้างสนาม เป็นภาพที่จดจำติดตาไม่แพ้แมทช์การแข่งขันที่ให้ดาว 5 ดวง ยังน้อยเกินไป

อันดับ 4 : อาร์เซน่อล 1-2 ลิเวอร์พูล
เอฟเอ คัพ (2001 / มิลเลนเนี่ยม สเตเดี้ยม)

เอฟเอ คัพ นัดชิงกับอาร์เซน่อล ซึ่งโอเว่น ใช้เวลาแค่ 5 นาที ขโมยซีนทุกอย่าง

ลิเวอร์พูลภายใต้การคุมทีมของ “เฮียโปน” เชราร์ อุลลิเยร์ กำลังอยู่ในเส้นทางลุ้นทริปเปิ้ลแชมป์บอลถ้วย โดยพวกเขาคว้าลีก คัพมาถ้วยนึงแล้ว ก่อนจะต้องเจอกับอาร์เซน่อลในนัดชิงเอฟเอ คัพ ซึ่งฟอร์มของปืนใหญ่ก็สดไม่แพ้กัน นำทัพมาโดยเธียร์รี่ อองรี

โอกาสทำประตูส่วนใหญ่เป็นของปืนโต ที่เล่นเอาหงส์แดงโงนไปเงนมาอยู่หลายที หลังเอาตัวรอดมาได้หลายจังหวะ (ทั้งรอดโดนยิง และรอดจุดโทษ) เฟรดดริก ลุงก์เบิร์ก ก็เบิกร่องประตู 1-0 ให้ลูกทีมอาร์แซน เวนเกอร์จนได้

แม้โอกาสทำประตูจะไม่มากมาย แต่หงส์แดงมีกองหน้าที่ชื่อ “ไมเคิล โอเว่น” ซึ่งมาระเบิดฟอร์มเด็ดดวงได้ทันเวลา

“เบบี้โกล์” ยิงเบิ้ลแบบช็อคกองเชียร์ปืนโตทั้งสนามในนาทีที่ 83 และ 88 ส่งหงส์แดงคว้าแชมป์ถ้วยที่ 2 ด้วยสกอร์ 2-1 ก่อนจะเฉือนอลาเบสในเวลาต่อมา คว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ เป็นทริปเปิ้ลแชมป์บอลถ้วยได้สำเร็จ

อันดับ 3 : ลิเวอร์พูล 3-3 เวสต์แฮม (ชนะยิงจุดโทษ 3-1)
เอฟเอ คัพ (2006 / มิลเลนเนี่ยม สเตเดี้ยม)

สตีเว่น เจอร์ราร์ด เหมา 2 ประตูเครื่องหมายการค้า ให้ทีมคัมแบ็คกลับมาได้ยิ่งใหญ่

ในตอนแรก ลิเวอร์พูลเป็นต่อเวสต์แฮมอย่างมาก และน่าจะจัดการทีมขุนค้อนของอลัน พาร์ดิวได้ไม่ยาก แต่พอเริ่มเกมไปแค่ครึ่งชั่วโมง กลับเป็นทีมจากลอนดอนทำประตูขึ้นนำไปก่อนถึง 2-0 จากการทำเข้าประตูตัวเองของคาร์ราเกอร์ และลูกจิ้มเผาขนของดีน แอชตัน ที่เกิดจากความผิดพลาดของเปเป้ เรน่า

หงส์แดงฮึดกลับมาได้น่าดูชม ฌิบริล ซิสเซ่ และสตีเว่น เจอร์ราร์ด ยิงคนละประตูให้ทีมกลับมาตีเสมอ 2-2 ได้สำเร็จ และโมเมนตั้มดูจะกลับมาที่ทางฝั่งทีมสีแดงแล้ว

แต่แล้วลูกครอสมหัศจรรย์ที่ลอยเข้าประตูไปหน้าตาเฉยของพอล คอนเชสกี้ ก็ทำให้เวสต์แฮมออกนำอีกครั้ง และดูทีท่าจะจบลงด้วยสกอร์ 3-2 จนกระทั่งช่วงนาทีสุดท้าย ลูกยิงวอลเล่ย์แบบไม่ต้องจับของเจอร์ราร์ด จากระยะเกิน 35 หลา พุ่งเสียบตาข่ายแทบขาด ฉุดหงส์แดงขึ้นจากหลุมมาเสมอ 3-3

แม้ช่วงต่อเวลา หงส์แดงจะไม่สามารถปิดบัญชีขุนค้อนได้ แต่สุดท้ายพวกเขาก็เข้าป้ายคว้าแชมป์สำเร็จหลังดวลจุดโทษชนะ 3-1 โดยเรน่า กลับมาทำหน้าที่ฮีโร่ของทีมด้วยการเซฟจุดโทษได้ถึง 3 ลูก

อันดับ 2 : ลิเวอร์พูล 4-3 ดอร์ทมุนด์
ยูโรป้า คัพ (2016 / แอนฟิลด์)

ประตูชัยสุดดราม่าของเดยัน ลอฟเรน ทำให้เกิดการคัมแบ็คครั้งยิ่งใหญ่ที่แอนฟิลด์

ลิเวอร์พูลของเจอร์เก้น คลอปป์ กุมความได้เปรียบเหนือ “เสือเหลือง”​ ดอร์ทมุนด์มาก่อนในเลกแรก หลังเก็บสกอร์ 1-1 ในการออกไปเยือนเยอรมันได้ ดูแล้ว เส้นทางเข้าสู่รอบรองชนะเลิศน่าจะเอนเอียงมาทางขุนพลแห่งเมอร์ซี่ไซด์ มากกว่าทีมดังจากเมืองเบียร์

แต่แค่เพียง 9 นาที 2 นักเตะอาร์เซน่อลในปัจจุบันอย่างเฮนริค มาร์คิตายาน และโอมาริค โอบาเมยัง ก็ยิงให้ทีมเยือนออกนำถึง 2-0 เท่ากับว่าหงส์แดงต้องยิงถึง 3 ประตู หากหวังจะเข้ารอบ

โอกาสแห่งการคัมแบ็คเริ่มเปิดกว้างเมื่อดิว็อค โอริกี ยิงประตูไล่มาตั้งแต่ครึ่งหลังเริ่มมาแค่ 3 นาที แต่ทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิมอีกครั้ง เมื่อมาร์โก้ รอยส์ หลุดจากทางซ้ายเข้าไปยิงประตูให้เสือเหลืองนำเป็น 3-1 ในขณะเหลือเวลาอีกแค่ครึ่งชั่วโมง

คลอปป์ส่งโจ อัลเลน และแดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ เพื่อเล่นเกมรุกมากขึ้น และมาได้ 2 ประตูในช่วงห่างกัน 12 นาที ทำให้สกอร์กลับมาเสมอกันที่ 3-3 ก่อนที่ดอร์ทมุนด์ จะทุ่มเทต้านทานเกมรุกของหงส์แดงไว้ได้หมด จนเวลาล่วงเลยถึงช่วงทดเวลา

โมเมนต์การฉลองชัยหลังเกม ซึ่งเป็นบรรยากาศที่น่าจดจำในแอนฟิลด์เสมอ

สุดท้ายเหมือนดราม่าที่เขียนบทไว้ จากลูกฟรีคิกสั้นที่เหมือนจะผิดแผน เจมส์​ มิลเนอร์ครอสบอลไปเสาสองให้เดยัน ลอฟเรนโขกประตูชัย 4-3 ให้ทีมชนะไปแบบสุดมัน เป็นอีกหนึ่งการคัมแบ็คที่ยิ่งใหญ่ ที่มีแบ็คกราวน์เป็นแอนฟิลด์ที่ส่งเสียงดังตั้งแต่นาทีแรกจนวินาทีสุดท้าย

อันดับ 1 : ลิเวอร์พูล 3-3 เอซี มิลาน (ชนะยิงจุดโทษ 3-2)
ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ ลีก (2005 / อตาเติร์ก สเตเดี้ยม)

6 นาทีมหัศจรรย์ จบด้วยช็อตพังประตูนี้ของชาบี อลองโซ่

นัดสุดท้ายในฤดูกาลแรกของราฟา เบนิเตซ ทำให้เดอะ ค็อปฝันถึงแชมป์ถ้วยบิ๊กเอียร์เป็นสมัยที่ 5 แม้ว่าทีมจะขี้ริ้วขี้เหร่ แต่ก็หักด่านคู่แข่งระดับแนวหน้ามาทั้งเลเวอร์คูเซ่น, ยูเวนตุส และเชลซี รวมถึงการโกงตายในรอบแบ่งกลุ่มมาได้ในช่วงไม่กี่นาทีสุดท้าย โดยด่านใหญ่สำคัญสุดท้ายคือ “ปีศาจแดง-ดำ” เอซี มิลาน ที่ชั่วโมงนั้น แกร่งทุกขุมกำลัง

ฝันของเดอะ ค็อป แทบสลายไปในพริบตา เพราะครึ่งแรกโดนมิลานกะซวกไป 3 แผล พร้อมกับรูปเกมที่ดูจะเป็นรองชัดเจน และยังต้องเสียแฮร์รี่ คีลล์ ที่เจ็บไปตั้งแต่นาทีที่ 23 ไม่มีอะไรเป็นใจให้พวกเขาเลย

พักครึ่งนอกเหนือจากการปลุกใจที่เป็นที่เลื่องลือ ราฟาตัดสินใจปรับแผนด้วยการถอดสตีฟ ฟินแนนออก และส่งดีทมาร์ ฮามันน์ กองกลางมากประสบการณ์ลงไป เพื่อหวังจะครอบครองเกมสู้ได้บ้าง

และแล้วด้วยพลังที่สู้ไม่ถอยของนักเตะชุดแดง ก็บันดาลให้เกิด “6 นาที” สุดยอดแห่งการคัมแบ็คที่ไม่มีใครคาดคิดถึง

ลูกโหม่งของเจอร์ราร์ด, ลูกยิงไกลของวลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ และการซ้ำจุดโทษตุงตาข่ายของชาบี้ อลองโซ่ พาทีมกลับมาเสมอ 3-3 ชนิดที่ไม่มีใครอยากจะเชื่อสายตา ยกเว้นราฟา และนักเตะของพวกเขา ที่เชื่อมั่นเต็มเปี่ยม

ตลอดเวลาที่เหลือครึ่งชั่วโมง และช่วงต่อเวลาพิเศษที่ยาวนาน นักเตะหงส์แดงวิ่งสู้ฟัด และป้องกันการบุกของมิลานอย่างสุดกำลัง คาร์ราเกอร์ทุ่มสุดตัวจนตะคริวขึ้นแล้วขึ้นอีก เจอร์ซี่ ดูเด็ค เซฟลูกมหัศจรรย์ที่ตัวเขาเองยังแทบไม่เชื่อว่าเขาจะเซฟได้ จนแล้วจนรอดอังเดร เชฟเชนโก้ และผองเพื่อน ไม่สามารถพังประตูหงส์แดงได้ จนต้องยืดเยื้อไปถึงการยิงลูกโทษตัดสิน

จุดโทษสุดท้ายของเชฟเชนโก้ ที่ไม่ว่าจะยิงยังไง ก็ไม่มีทางผ่านดูเด็คในวันนั้นได้

“ค่ำคืนมหัศจรรย์แห่งอิสตันบลู” ดูเหมือนจะเขียนบทสรุปมาให้ลิเวอร์พูลเรียบร้อยแล้ว นักเตะที่ค่อนข้างชัวร์ในการดวลจุดโทษอย่างแซร์จินโญ่ และอันเดรีย ปิร์โล่ พลาด ขณะที่หงส์แดงพลาดเพียงแค่ยอห์น อาร์เน่ ริเซ่ คนเดียว ส่งผลให้อังเดร เชฟเชนโก้ ศูนย์หน้าเบอร์ต้นของโลก แบกความกดดันทั้งหมดที่ต้องยิงให้เข้า เพื่อต่อลมหายใจของมิลาน

แชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 ได้มาด้วยแรงใจ และความเชื่อ ที่เหนือกว่าคำว่าปาฏิหาริย์

ไม่รู้ว่า “เชว่า” ดวงตก หรือเพราะสถานการณ์จะสร้างฮีโร่ ดูเด็คที่ใช้ท่า “สปาเก็ตตี้ เลค” ของบรูซ กอบเบล่าร์ ก่อกวนประสาท สามารถเซฟจุดโทษที่น่าจะยิงได้แย่ที่สุดลูกนึงในชีวิตของเชว่าได้สำเร็จ ส่งผลให้หงส์แดงคว้าแชมป์ UCL ได้สำเร็จเป็นสมัยที่ 5 พร้อมการจารึกว่านี่คือการ “คัมแบ็ค” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งนึงในประวัติศาสตร์ลูกหนัง

เครดิตคลิป : Tin tức, Bóng đá và Highlight, gr8footy, Fox Sports Italia, Dailymotion (dinosauros13), Adrian Houghton, Enki2011, Weak Wick, Rebecca Tackett, The Emirates FA Cup, Guga TV

Picture : 90Min, Sports Illustrated, Citizen TV, Twitter, Read the League, Sky Sports, Read Norwich, Sportskeeda, Liverpool Echo, Premier League, Planet Football, Goal.com, The Straits Times, Sahara Sport, Business Insider, The42.ie

rocketseer

ทำงาน Sports content | บ้าบอล-เป็น The KOP | (เคย)บ้าดูหนัง-(เคย)ทำเพจหนัง | อยู่บ้านนาน ก็ชักเป็นบ้า!

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save