เรื่องของการ “คัมแบ็ค” ในโลกฟุตบอลนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นกันบ่อยนักหรอกนะครับ เพราะไม่เพียงแต่ฝีเท้าที่ดีแล้ว เรื่องของ “ความเชื่อ” และ “หัวจิตหัวใจ” เป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ที่จะพลิกสกอร์จากผู้พ่ายแพ้ ให้กลับกลายมาเป็นผู้ชนะในบั้นปลายได้
อย่างการคัมแบ็คแบบโกงความตายของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ล่าสุด ที่กลับมาเข้ารอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ ลีก เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ด้วยการเอาชนะ “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า ในแอนฟิลด์ 4-0 ทั้งๆ ที่นัดแรกบุกไปแพ้ความเฉียบขาดของอาซุลการ่ามาราบคาบถึง 3-0
พูดเรื่องการ “คัมแบ็ค” กับ “หงส์แดง” แล้ว แม้ทีมดังแห่งลุ่มแม่น้ำเมอร์ซี่ จะไม่ได้สร้างปรากฏการณ์แบบนี้ ได้บ่อยครั้งนักในยุคพรีเมียร์ลีกเท่ากับยูไนเต็ด แต่มันก็มีอยู่หลายนัดเหมือนกัน ที่หงส์แดงแสดงถึง DNA ที่ไม่ยอมตาย และสู้เต็มที่ถึงหยดสุดท้าย
ความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้นี้ นำผลการแข่งขันที่น่าทึ่งมาฝากแฟนบอลอันเป็นที่รักของพวกเขาเสมอ เหมือนในนัดล่าสุดที่ทีมแสดงว่า “ใจ” ใหญ่กว่าเหล่าซูเปอร์สตาร์ระดับโลกจากแคว้นคาตาลันมากโข
เพื่อพิสูจน์วลี “จงอย่ายอมแพ้” ของลิเวอร์พูลให้ชัดเจนขึ้น วันนี้เราเลยขอแนะนำให้รู้จักอีก 10 อันดับการคัมแบ็คอันลือลั่นของหงส์แดง มาให้เสพกัน
อันดับ 10 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2-3 ลิเวอร์พูล
พรีเมียร์ ลีก (2008 / ซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์ สเตเดี้ยม)
“เรือใบสีฟ้า” ที่เริ่มลงทุนเสริมผู้เล่นมากมายเป็นฤดูกาลแรก ภายใต้การคุมทีมของมาร์ค ฮิวจ์ ออกนำ “หงส์แดง” ผู้มาเยือน 2-0 ในครึ่งแรกจากสตีเฟ่น ไอร์แลนด์ และฆาเบียร์ การ์ริโด้
ในช่วงพักครึ่ง ไม่ว่าจะด้วยการปรับแผนของราฟา เบนิเตซ หรือการกระตุ้นของเจมี่ คาร์ราเกอร์ นักเตะสเกาเซอร์จอมโวยวายในห้องเปลี่ยนชุด ทำให้หงส์แดงกลับลงมาเล่นแบบหนังคนละม้วนในครึ่งหลัง
เฟร์นานโด ตอร์เรส ยิง 1 โหม่ง 1 พาลิเวอร์พูลกลับมาเสมอ 2-2 หลังผ่านไป 73 นาที โดยระหว่างนั้น อีกเหตุการณ์สำคัญคือการโดนไล่ออกของพาโบล ซาบาเลต้า ซึ่งทำให้หงส์แดงได้เปรียบขึ้นไปอีก
หงส์แดงบดอยู่นาน และในที่สุดก็มาได้ประตูชัยอันล้ำค่าจากเดิร์ค เคาท์ ที่พยายามไม่หยุด ในนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน
อันดับ 9 : ลิเวอร์พูล 3-1 แซงต์ เอเตียน
ยูโรเปี้ยน คัพ (1977 / แอนฟิลด์)
รอบ 3 ของศึกถ้วยใหญ่ยุโรปในสมัยนั้น เล่นกัน 2 เลก เลกแรก “หงส์แดง” ออกไปแพ้แชมป์ลีกฝรั่งเศสอย่างแซงต์ เอเตียนมา 0-1 ก่อนจะกลับมาเล่นกันในเลก 2 ที่เดอะ ค็อป แห่กันเข้ามาเชียร์กันแน่นสนาม เพื่อหวังช่วยให้ทีมรักพลิกสถานการณ์
เควิน คีแกน ทำประตูให้ทีมออกนำตั้งแต่นาทีที่ 2 แต่แล้วทุกอย่างก็แทบพังทลาย เมื่อโดมินิก บาเธนา ที่ยิงประตูชัยในเลกแรก หลุดเข้าไปยิงประตูทีมเยือนล้ำค่าตีเสมอให้แซงต์ เอเตียนในช่วงต้นครึ่งหลัง
ลิเวอร์พูลโต้กลับทันควันด้วยพลังหนุนหลังจากเดอะ ค็อป เรย์ เคนเนดี้ ทำประตูให้ทีมขึ้นนำอีกครั้งในนาทีที่ 59 แต่สกอร์ชนะ 2-1 ไม่เพียงพอ จนกระทั่งเข้าสู่ช่วง 6-7 นาทีสุดท้าย
และแล้วศูนย์หน้าสำรอง สเกาเซอร์แท้ๆ อย่างเดวิด แฟร์คลัฟ ก็แผลงฤทธิ์กดประตูชัยให้หงส์แดงได้สำเร็จ และพาทีมผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศด้วยสกอร์รวม 2 นัด 3-2
ท้ายที่สุดในซีซั่นนั้น หงส์แดงสามารถเถลิงแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพสมัยแรกได้สำเร็จ หลังล้มโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ในรอบชิงที่กรุงโรม 3-1
อันดับ 8 : นอริช ซิตี้ 4-5 ลิเวอร์พูล
พรีเมียร์ลีก (2016 / แคร์โรว์ โร้ด)
แม้แมทช์นี้จะไม่ถึงกับสลักสำคัญเหมือนแมทช์อื่น แต่ขอเลือกมันติดอันดับ เพราะมันเป็นการคัมแบ็คที่โคตรมันในยุคของเจอร์เก้น คลอปป์ ซึ่งทำให้เราได้เห็นคาแรกเตอร์ของเขาได้ชัดเจนขึ้นในเวลานั้น
คลอปป์เข้ามารับงานแทนเบรนแดน รอดเจอร์ส ในช่วงเดือนตุลาคม 2015 และพยายามจะปรับเปลี่ยนการเล่น โดยนำเอาสไตล์วิ่งสู้ฟัดมาใช้กับลิเวอร์พูลที่กำลังเป๋ไปเป๋มาในช่วงท้ายของบีร็อด
หงส์แดงต้องไปเยือนนอริช ทีมที่กำลังดิ้นรนหนีตกชั้น และออกนำไปก่อนจากโรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่ แต่เจ้าถิ่นก็ตอบโต้ด้วยการวิ่งสู้ฟัด และเล่นบอลเร็ว จนกลับมาแซงนำ 3-1 เมื่อผ่านไป 54 นาที
ลูกทีมของคลอปป์พยายามรวบรวมสติ และใช้ความแน่นอนกว่าจู่โจมนอริชที่เกมรับอ่อนแอ จนทีมกลับมาแซงนำแบบรวดเดียวเป็น 4-3 จากประตูของเจมส์ มิลเนอร์
ความระทึกยังไม่จบ เมื่อเซบาสเตียน บาสซง เซ็นเตอร์ฮาล์ฟของนอริชเติมขึ้นมากดประตูจากหัวกระโหลกเข้าไปแบบเหลือเชื่อ ตีเสมอเป็น 4-4 ในขณะเหลือเวลาในการทดเจ็บแค่ 2-3 นาที
ใครก็คิดว่าแมทช์นี้จบ 4-4 มันก็บ้ามากแล้ว แต่หงส์แดงกลับรวมใจครั้งสุดท้าย คลอปป์ส่งสตีเฟ่น คอล์กเกอร์ เซ็นเตอร์ฮาล์ฟร่างใหญ่ขึ้นไปเล่นหน้าเป้า และในท้ายที่สุดอดัม ลัลลาน่า ก็มายิงประตูให้ทีมชนะ 5-4 ชนิดที่ไม่มีใครเก็บอาการอยู่กันอีกต่อไป
อันดับ 7 : ลิเวอร์พูล 3-1 โอลิมเปียกอส
ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ ลีก (2004 / แอนฟิลด์)
ก่อนที่จะเกิดปาฏิหาริย์แห่งอิสตันบลู หงส์แดงต้องเอาตัวรอดในนัดสุดท้ายรอบแบ่งกลุ่ม ที่พวกเขาต้องเก็บชัยชนะเหนือโอลิมเปียกอสด้วยผลต่าง 2 ประตูให้ได้ เพื่อผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์
แอนฟิลด์ต้องเงียบกริบ เมื่อริวัลโด้ เพลย์เมกเกอร์ตัวเก๋าปั่นฟรีคิกให้ทีมจากกรีซออกนำ 1-0 ในครึ่งแรก ก่อนที่หงส์แดงจะฮึดสู้ตามตีเสมอ 1-1 จากดาวรุ่งอย่างฟลอรองต์ ชินาม่า-ปงโกลล์ ในต้นครึ่งหลัง แต่หลังจากนั้นจนผ่านไป 80 นาที สกอร์บอร์ดยังไม่ขยับไปเกินกว่านั้น
นีล เมลเลอร์ อีกหนึ่งศูนย์หน้าดาวรุ่งพังประตูขึ้นนำ 2-1 ในนาทีที่ 80 ก่อนจะเกิดเหตุการณ์แอนฟิลด์แทบแตก เมื่อกัปตันสตีเว่น เจอร์ราร์ด วิ่งเข้ามาวอลเล่ย์ลูกซุกตาข่ายแบบเต็มเท้าก่อนหมดเวลาแค่ 4 นาที เป็นประตูสุดสำคัญให้ทีมคว้าชัยด้วยสกอร์ 3-1 และผ่านเข้ารอบไปเป็นแชมป์สมัยที่ 5 ในบั้นปลาย
อันดับ 6 : ลิเวอร์พูล 3-1 ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์
ลีก คัพ (1982 / เวมบลีย์)
หงส์แดงในยุคเกรียงไกรของบ็อบ เพสลีย์ ลงเล่นในเวมบลีย์นัดนี้เพื่อหวังป้องกันแชมป์ลีก คัพ (ตอนนั้นเรียกมิลค์ คัพ) ให้ได้ แต่เหล่าเดอะค็อปก็ต้องอึ้ง เมื่อความขยันของสตีฟ อาร์ชิบัลด์ ทำให้เขาหลุดเข้าไปยิงประเดิมประตูให้ “ไก่เดือยทอง” ขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 11
ลิเวอร์พูลพยายามเต็มที่ที่จะควานหาประตูตีเสมอ แต่สเปอร์ก็ยังป้องกันได้อย่างไม่ลดละ แต่ด้วยความมุ่งมั่นไม่มีหมด หงส์แดงมาตีเสมอจนได้ก่อนหมดเวลาแค่ 3 นาทีจากรอนนี่ วีแลน ทำให้เกมต้องยืดเยื้อไปสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษ
หงส์แดงที่เริ่มเหนือกว่า เปิดเกมรุกเข้าใส่ทันที และวีแลนคนเดิมก็พังประตูให้ทีมขึ้นนำจนได้ในนาทีที่ 111 ก่อนที่เอียน รัช จะปิดบัญชีในนาทีสุดท้าย ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นดับเบิลแชมป์ (แชมป์ลีก กับลีก คัพ) 3 ซีซั่นซ้อนของเพสลีย์ และลูกทีม
อันดับ 5 : ลิเวอร์พูล 4-3 นิวคาสเซิล
พรีเมียร์ลีก (1996 / แอนฟิลด์)
ฤดูกาล 1995/96 อันน่าตื่นเต้น นิวคาสเซิลของเควิน คีแกน ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงแชมป์กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบเต็มตัว โดยมีลิเวอร์พูลตามมาไม่ห่างในอันดับที่ 3
เกมการแข่งขันอยู่ในช่วงโค้งสุดท้าย สาลิกาดงหมายมั่นเต็มที่ที่จะบุกมากำชัยชนะที่แอนฟิลด์เพื่อบดบี้กับยูไนเต็ดต่อ โดยช่วงนั้นทั้ง 2 ทีม จัดได้ว่ามีเกมรุกที่ดุดัน และน่าจะแลกหมัดกันสนุกแน่นอน
ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ทำประตูนำให้หงส์แดงตั้งแต่ไก่โห่ แต่สาลิกาดงก็ใช้เวลาไม่นานพลิกกลับมานำ 2-1 อย่างรวดเร็วจากเลส เฟอร์ดินานด์ และดาวิด ชิโนล่า
เข้าสู่ครึ่งหลังฟาวเลอร์ยิงอีกประตูตีเสมอเป็น 2-2 แต่ก็ไม่วายโดนฟาอุสติโน่ อัสปริย่าซัดประตูให้ทีมดังจากแดนอีสานออกนำอีกครั้ง 3-2
สแตน คอลลีมอร์ที่ฟอร์มกำลังฮ็อต กดประตูสำคัญให้ทีมตีเสมอ 3-3 ได้สำเร็จ จนเข้าสู่ช่วงท้ายเกม ซึ่งรอย อีแวนส์ ตัดสินใจส่งตัวเก๋าอย่างเอียน รัช ลงสนามเพื่อหวังเผด็จศึกผู้มาเยือนเช่นกัน
และแล้วในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ การประสานงานของ 2 แข้งมากประสบการณ์อย่างรัช และจอห์น บาร์นส์ ก็นำไปสู่ประตูชัย 4-3 ที่ทำเอาแอนฟิลด์แทบแตก (ดูอยู่บ้าน บ้านก็แทบแตก ฮ่า) ภาพที่จับไปเห็นเควิน คีแกน อดีตฮีโร่ที่รักของหงส์แดงทรุดลงกับป้ายข้างสนาม เป็นภาพที่จดจำติดตาไม่แพ้แมทช์การแข่งขันที่ให้ดาว 5 ดวง ยังน้อยเกินไป
อันดับ 4 : อาร์เซน่อล 1-2 ลิเวอร์พูล
เอฟเอ คัพ (2001 / มิลเลนเนี่ยม สเตเดี้ยม)
ลิเวอร์พูลภายใต้การคุมทีมของ “เฮียโปน” เชราร์ อุลลิเยร์ กำลังอยู่ในเส้นทางลุ้นทริปเปิ้ลแชมป์บอลถ้วย โดยพวกเขาคว้าลีก คัพมาถ้วยนึงแล้ว ก่อนจะต้องเจอกับอาร์เซน่อลในนัดชิงเอฟเอ คัพ ซึ่งฟอร์มของปืนใหญ่ก็สดไม่แพ้กัน นำทัพมาโดยเธียร์รี่ อองรี
โอกาสทำประตูส่วนใหญ่เป็นของปืนโต ที่เล่นเอาหงส์แดงโงนไปเงนมาอยู่หลายที หลังเอาตัวรอดมาได้หลายจังหวะ (ทั้งรอดโดนยิง และรอดจุดโทษ) เฟรดดริก ลุงก์เบิร์ก ก็เบิกร่องประตู 1-0 ให้ลูกทีมอาร์แซน เวนเกอร์จนได้
แม้โอกาสทำประตูจะไม่มากมาย แต่หงส์แดงมีกองหน้าที่ชื่อ “ไมเคิล โอเว่น” ซึ่งมาระเบิดฟอร์มเด็ดดวงได้ทันเวลา
“เบบี้โกล์” ยิงเบิ้ลแบบช็อคกองเชียร์ปืนโตทั้งสนามในนาทีที่ 83 และ 88 ส่งหงส์แดงคว้าแชมป์ถ้วยที่ 2 ด้วยสกอร์ 2-1 ก่อนจะเฉือนอลาเบสในเวลาต่อมา คว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ เป็นทริปเปิ้ลแชมป์บอลถ้วยได้สำเร็จ
อันดับ 3 : ลิเวอร์พูล 3-3 เวสต์แฮม (ชนะยิงจุดโทษ 3-1)
เอฟเอ คัพ (2006 / มิลเลนเนี่ยม สเตเดี้ยม)
ในตอนแรก ลิเวอร์พูลเป็นต่อเวสต์แฮมอย่างมาก และน่าจะจัดการทีมขุนค้อนของอลัน พาร์ดิวได้ไม่ยาก แต่พอเริ่มเกมไปแค่ครึ่งชั่วโมง กลับเป็นทีมจากลอนดอนทำประตูขึ้นนำไปก่อนถึง 2-0 จากการทำเข้าประตูตัวเองของคาร์ราเกอร์ และลูกจิ้มเผาขนของดีน แอชตัน ที่เกิดจากความผิดพลาดของเปเป้ เรน่า
หงส์แดงฮึดกลับมาได้น่าดูชม ฌิบริล ซิสเซ่ และสตีเว่น เจอร์ราร์ด ยิงคนละประตูให้ทีมกลับมาตีเสมอ 2-2 ได้สำเร็จ และโมเมนตั้มดูจะกลับมาที่ทางฝั่งทีมสีแดงแล้ว
แต่แล้วลูกครอสมหัศจรรย์ที่ลอยเข้าประตูไปหน้าตาเฉยของพอล คอนเชสกี้ ก็ทำให้เวสต์แฮมออกนำอีกครั้ง และดูทีท่าจะจบลงด้วยสกอร์ 3-2 จนกระทั่งช่วงนาทีสุดท้าย ลูกยิงวอลเล่ย์แบบไม่ต้องจับของเจอร์ราร์ด จากระยะเกิน 35 หลา พุ่งเสียบตาข่ายแทบขาด ฉุดหงส์แดงขึ้นจากหลุมมาเสมอ 3-3
แม้ช่วงต่อเวลา หงส์แดงจะไม่สามารถปิดบัญชีขุนค้อนได้ แต่สุดท้ายพวกเขาก็เข้าป้ายคว้าแชมป์สำเร็จหลังดวลจุดโทษชนะ 3-1 โดยเรน่า กลับมาทำหน้าที่ฮีโร่ของทีมด้วยการเซฟจุดโทษได้ถึง 3 ลูก
อันดับ 2 : ลิเวอร์พูล 4-3 ดอร์ทมุนด์
ยูโรป้า คัพ (2016 / แอนฟิลด์)
ลิเวอร์พูลของเจอร์เก้น คลอปป์ กุมความได้เปรียบเหนือ “เสือเหลือง” ดอร์ทมุนด์มาก่อนในเลกแรก หลังเก็บสกอร์ 1-1 ในการออกไปเยือนเยอรมันได้ ดูแล้ว เส้นทางเข้าสู่รอบรองชนะเลิศน่าจะเอนเอียงมาทางขุนพลแห่งเมอร์ซี่ไซด์ มากกว่าทีมดังจากเมืองเบียร์
แต่แค่เพียง 9 นาที 2 นักเตะอาร์เซน่อลในปัจจุบันอย่างเฮนริค มาร์คิตายาน และโอมาริค โอบาเมยัง ก็ยิงให้ทีมเยือนออกนำถึง 2-0 เท่ากับว่าหงส์แดงต้องยิงถึง 3 ประตู หากหวังจะเข้ารอบ
โอกาสแห่งการคัมแบ็คเริ่มเปิดกว้างเมื่อดิว็อค โอริกี ยิงประตูไล่มาตั้งแต่ครึ่งหลังเริ่มมาแค่ 3 นาที แต่ทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิมอีกครั้ง เมื่อมาร์โก้ รอยส์ หลุดจากทางซ้ายเข้าไปยิงประตูให้เสือเหลืองนำเป็น 3-1 ในขณะเหลือเวลาอีกแค่ครึ่งชั่วโมง
คลอปป์ส่งโจ อัลเลน และแดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ เพื่อเล่นเกมรุกมากขึ้น และมาได้ 2 ประตูในช่วงห่างกัน 12 นาที ทำให้สกอร์กลับมาเสมอกันที่ 3-3 ก่อนที่ดอร์ทมุนด์ จะทุ่มเทต้านทานเกมรุกของหงส์แดงไว้ได้หมด จนเวลาล่วงเลยถึงช่วงทดเวลา
สุดท้ายเหมือนดราม่าที่เขียนบทไว้ จากลูกฟรีคิกสั้นที่เหมือนจะผิดแผน เจมส์ มิลเนอร์ครอสบอลไปเสาสองให้เดยัน ลอฟเรนโขกประตูชัย 4-3 ให้ทีมชนะไปแบบสุดมัน เป็นอีกหนึ่งการคัมแบ็คที่ยิ่งใหญ่ ที่มีแบ็คกราวน์เป็นแอนฟิลด์ที่ส่งเสียงดังตั้งแต่นาทีแรกจนวินาทีสุดท้าย
อันดับ 1 : ลิเวอร์พูล 3-3 เอซี มิลาน (ชนะยิงจุดโทษ 3-2)
ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ ลีก (2005 / อตาเติร์ก สเตเดี้ยม)
นัดสุดท้ายในฤดูกาลแรกของราฟา เบนิเตซ ทำให้เดอะ ค็อปฝันถึงแชมป์ถ้วยบิ๊กเอียร์เป็นสมัยที่ 5 แม้ว่าทีมจะขี้ริ้วขี้เหร่ แต่ก็หักด่านคู่แข่งระดับแนวหน้ามาทั้งเลเวอร์คูเซ่น, ยูเวนตุส และเชลซี รวมถึงการโกงตายในรอบแบ่งกลุ่มมาได้ในช่วงไม่กี่นาทีสุดท้าย โดยด่านใหญ่สำคัญสุดท้ายคือ “ปีศาจแดง-ดำ” เอซี มิลาน ที่ชั่วโมงนั้น แกร่งทุกขุมกำลัง
ฝันของเดอะ ค็อป แทบสลายไปในพริบตา เพราะครึ่งแรกโดนมิลานกะซวกไป 3 แผล พร้อมกับรูปเกมที่ดูจะเป็นรองชัดเจน และยังต้องเสียแฮร์รี่ คีลล์ ที่เจ็บไปตั้งแต่นาทีที่ 23 ไม่มีอะไรเป็นใจให้พวกเขาเลย
พักครึ่งนอกเหนือจากการปลุกใจที่เป็นที่เลื่องลือ ราฟาตัดสินใจปรับแผนด้วยการถอดสตีฟ ฟินแนนออก และส่งดีทมาร์ ฮามันน์ กองกลางมากประสบการณ์ลงไป เพื่อหวังจะครอบครองเกมสู้ได้บ้าง
และแล้วด้วยพลังที่สู้ไม่ถอยของนักเตะชุดแดง ก็บันดาลให้เกิด “6 นาที” สุดยอดแห่งการคัมแบ็คที่ไม่มีใครคาดคิดถึง
ลูกโหม่งของเจอร์ราร์ด, ลูกยิงไกลของวลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ และการซ้ำจุดโทษตุงตาข่ายของชาบี้ อลองโซ่ พาทีมกลับมาเสมอ 3-3 ชนิดที่ไม่มีใครอยากจะเชื่อสายตา ยกเว้นราฟา และนักเตะของพวกเขา ที่เชื่อมั่นเต็มเปี่ยม
ตลอดเวลาที่เหลือครึ่งชั่วโมง และช่วงต่อเวลาพิเศษที่ยาวนาน นักเตะหงส์แดงวิ่งสู้ฟัด และป้องกันการบุกของมิลานอย่างสุดกำลัง คาร์ราเกอร์ทุ่มสุดตัวจนตะคริวขึ้นแล้วขึ้นอีก เจอร์ซี่ ดูเด็ค เซฟลูกมหัศจรรย์ที่ตัวเขาเองยังแทบไม่เชื่อว่าเขาจะเซฟได้ จนแล้วจนรอดอังเดร เชฟเชนโก้ และผองเพื่อน ไม่สามารถพังประตูหงส์แดงได้ จนต้องยืดเยื้อไปถึงการยิงลูกโทษตัดสิน
“ค่ำคืนมหัศจรรย์แห่งอิสตันบลู” ดูเหมือนจะเขียนบทสรุปมาให้ลิเวอร์พูลเรียบร้อยแล้ว นักเตะที่ค่อนข้างชัวร์ในการดวลจุดโทษอย่างแซร์จินโญ่ และอันเดรีย ปิร์โล่ พลาด ขณะที่หงส์แดงพลาดเพียงแค่ยอห์น อาร์เน่ ริเซ่ คนเดียว ส่งผลให้อังเดร เชฟเชนโก้ ศูนย์หน้าเบอร์ต้นของโลก แบกความกดดันทั้งหมดที่ต้องยิงให้เข้า เพื่อต่อลมหายใจของมิลาน
ไม่รู้ว่า “เชว่า” ดวงตก หรือเพราะสถานการณ์จะสร้างฮีโร่ ดูเด็คที่ใช้ท่า “สปาเก็ตตี้ เลค” ของบรูซ กอบเบล่าร์ ก่อกวนประสาท สามารถเซฟจุดโทษที่น่าจะยิงได้แย่ที่สุดลูกนึงในชีวิตของเชว่าได้สำเร็จ ส่งผลให้หงส์แดงคว้าแชมป์ UCL ได้สำเร็จเป็นสมัยที่ 5 พร้อมการจารึกว่านี่คือการ “คัมแบ็ค” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งนึงในประวัติศาสตร์ลูกหนัง
เครดิตคลิป : Tin tức, Bóng đá và Highlight, gr8footy, Fox Sports Italia, Dailymotion (dinosauros13), Adrian Houghton, Enki2011, Weak Wick, Rebecca Tackett, The Emirates FA Cup, Guga TV
Picture : 90Min, Sports Illustrated, Citizen TV, Twitter, Read the League, Sky Sports, Read Norwich, Sportskeeda, Liverpool Echo, Premier League, Planet Football, Goal.com, The Straits Times, Sahara Sport, Business Insider, The42.ie