ช่วงนี้ฟุตบอลอิงลิช พรีเมียร์ลีก นี่ลุ้นกันสนุกจริงๆ เพราะนอกเหนือจากตำแหน่งแชมป์ที่ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล จะสู้ตาย เก็บชัยชนะติดๆ กันแบบไม่ลดละ การชิงพื้นที่อันดับ 3-4 ที่จะได้ไปเล่นยูฟ่า แชมป์เปียนส์ ลีก ในปีหน้า ก็ดุเดือดไม่แพ้กัน เพราะมีทั้ง สเปอร์, อาร์เซนอล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเชลซี 4 ทีมยักษ์ ที่สู้เพื่อชิงตำแหน่งที่ว่างเพียง 2 ที่เท่านั้น
แต่วันนี้ เราขอพักความดุเดือดในศึกพรีเมียร์ลีกของทีมชุดใหญ่เอาไว้ก่อน เพราะในอีกไม่กี่วันข้างหน้า มีนัดชิงสุดสำคัญของถ้วย “เอฟเอ ยูธ คัพ” หรือเอฟเอ คัพ ของทีมเยาวชนชุดยู-18 ให้ได้ลุ้นกันก่อน โดยคู่ชิงไม่ใช่ใครที่ไหน “หงส์เด็ก” ลิเวอร์พูล ปะทะกับ “เรือใบน้อย” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นั่นเอง
ศึกชิงเอฟเอ ยูธ คัพ นัดสำคัญนี้ จะเล่นกันเวลาตี 1.45 ของคืนวันที่ 25 เม.ย. หรือเข้าสู่วันใหม่ของ 26เม.ย. ตามเวลาบ้านเรา เตะกันที่ อคาเดมี่ สเตเดี้ยม ในเมืองแมนเชสเตอร์ โดยซิตี้ทีมเด็กผ่านเข้าชิง หลังจากชนะเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยนมา 4-2 ส่วนหงส์ชุดเล็กผ่านวัตฟอร์ด มาด้วยสกอร์ 2-1 โดยรอบชิงหนนี้มีการเปลี่ยนกฎกติกา จากการเตะ 2 เลก มาให้เหลือนัดเดียวรู้ผลกันไปเลย
สำหรับรอบชิงระหว่างซิตี้กับลิเวอร์พูลหนนี้นั้น ยังถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี ที่ไม่มีทีมเด็กของ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ทะลุมาเข้าชิง โดยปีนี้เชลซีพลาดท่าตกรอบเร็วตั้งแต่รอบ 3 หลังพ่ายให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยุติสถิติคว้าแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ ติดต่อกันไว้ที่ 5 สมัย
เพื่อเป็นการอุ่นเครื่องรอบชิงในปีนี้ และเป็นการสำรวจ 2 ทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในเกาะอังกฤษซีซั่นนี้ ลงลึกไปถึงทีมเยาวชน เรามารู้จักกับทีมเรือใบน้อย และหงส์เด็ก ชุดนี้กันหน่อยดีกว่า
แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ผู้จัดการทีม : แกเร็ธ เทย์เลอร์
อดีตกองหน้าชาวเวลส์ เคยค้าแข้งกับ “เรือใบสีฟ้า” ในช่วง 1998-2001 ลงเล่นเป็นแกนหลักของทีมในฤดูกาล 1998/99 ซึ่งซิตี้ต่อสู้เลื่อนชั้นกลับมายังพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ ก่อนจะย้ายออกไปค้าแข้งกับอีกหลายสโมสร และแขวนสตัดท์ในปี 2011
เทย์เลอร์ เข้ามาทำงานในอคาเดมี่ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แทบจะทันทีหลังแขวนสตัดท์ โดยรับหน้าที่พัฒนาเยาวชนที่อคาเดมี่ของทีมในดูไบ ก่อนจะกลับมารับงานคุมชุดยู-16 และเลื่อนมาคุมชุดยู-18 ตอนปี 2017 หลังลี คาร์สลี่ย์ ย้ายไปรับงานที่เบอร์มิงแฮม
นักเตะน่าจับตามอง :
เฟลิกซ์ นเมชา (กองกลางตัวรุก)
ดาวรุ่งวัย 18 เชื้อสายไนจีเรีย แต่เกิดที่เยอรมัน เป็นผลผลิตที่น่าจับตาจากอคาเดมี่ของเรือใบสีฟ้า ไม่แพ้พี่ชาย “ลูคาส” ซึ่งประเดิมทีมชุดใหญ่ก่อน และซีซั่นนี้ถูกปล่อยให้เปรสตันยืมตัวไป
เฟลิกซ์ ติดทีมชาติอังกฤษชุดเล็กมาตั้งแต่เด็ก และตอนนี้เป็นกำลังสำคัญให้สิงโตคำรามชุดยู-19 แถมยังได้ลงสัมผัสสนามในนามชุดใหญ่ของซิตี้มาแล้วในศึกคาราบาว คัพ ในรอบรองกับเบอร์ตั้น อัลเบี้ยน โดยเปลี่ยนตัวลงมาแทนโอเล็กซานเตอร์ ซินเชนโก้ ในนาทีที่ 67
กับทีมชุดเล็กซีซั่นนี้ เฟลิกซ์เป็นตัวหลักมาตลอด โดยนอกเหนือจากยิงประตูให้ทีมในศึกเอฟเอ ยูธ คัพทั้งรอบ 8 ทีม และรอบรองชนะเลิศแล้ว เขายังเป็นผู้ยิงประตูชัยส่งให้ทีมชนะมิดเดิลสโบรซ์ คว้าแชมป์ลีกคัพของยู-18 มาแล้วอีกด้วย
เบน ไนท์ (กองกลาง/กองหน้า)
แนวรุกวัยแค่ 17 ปี เป็นอีกหนึ่งนักเตะที่น่าจับตามอง นับตั้งแต่ย้ายมาร่วมอคาเดมี่ของซิตี้ เมื่อปีที่แล้ว โดยเบนเด็กระเบิดจากเคมบริดจ์ เริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่ 5 ขวบ มีดาวิด ซิลบา เป็นต้นแบบในการเล่น เพราะตัวเขาไม่ใหญ่ และอยากจะเล่นให้ฉลาด และมีประโยชน์แบบรุ่นพี่ชาวกระทิงดุ
กับศึกเอฟเอ ยูธ คัพซีซั่นนี้ เบนเป็นผู้เหมา 2 ประตูในรอบรองชนะเลิศที่ทีมเอาชนะ WBA มาได้ 4-2 รวมถึงยังยิงประตูได้ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับบอร์นมัธ ได้อีกด้วย
เอริค การ์เซีย (เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ)
กัปตันทีมยู-18 ชาวสแปนิชรายนี้ ถือเป็นแกนหลักสำคัญของทีมอย่างแท้จริง ด้วยการพัฒนาที่เติบโตแบบก้าวกระโดด นับตั้งแต่ซิตี้ได้เขามาจากบาร์เซโลน่าเมื่อปี 2017 ทำให้เขามีโอกาสประเดิมตัวจริงให้ทีมชุดใหญ่ไปแล้ว ในนัดที่ชนะจุดโทษเลสเตอร์ ในศึกคาราบาว คัพซีซั่นนี้
แม้รูปร่างไม่สูงใหญ่ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องชั้นเชิง และเซนส์บอลแล้ว การ์เซียคือนักเตะที่มีจุดเด่นตรงนี้อยู่ครบ โดยแนวรับที่อายุแค่ 18 เคยได้รับคำชมจากเป๊บ กวาดิโอล่า มาแล้วว่าแม้จะอายุแค่นี้ แต่การ์เซียเล่นบอลนิ่งเกินวัย เหมือนนักเตะอายุ 25 ปียังไงยังงั้น
ต่อเนื่องจากทีมชุดใหญ่ของซิตี้ ที่นิยมเซ็ตบอลจากแดนหลังขึ้นมาด้านหน้า จึงไม่แปลกที่ในทีมชุดเล็ก การ์เซียจะเป็นศูนย์กลางทั้งรุก และรับ ที่ทีมจะขาดไม่ได้เลย
ทอม เดเล่-บาชิรู (กองกลาง)
กองกลางรูปร่างแข็งแรงชาวอังกฤษ อยู่ในอคาเดมี่ของซิตี้มาตั้งแต่ชุดยู-16 ก่อนจะถูกดันมาใช้งานในชุดยู-18 ในซีซั่นนี้ โดยเขามีสไตล์การเล่นที่น่าสนใจ สามารถเปลี่ยนรับเป็นรุกได้โดดเด่น
นอกเหนือจากการเปลี่ยนจังหวะเกมแล้ว เขายังมีทีเด็ดในการสอดขึ้นมาทำประตูอยู่เสมอๆ ครบเครื่องแบบนี้ ก็เลยมีโอกาสมีชื่อติดทีมชุดใหญ่ไปแล้วเช่นกัน ในนัดที่เจอกับเลสเตอร์ ในศึกคาราบาว คัพ ซึ่งซิตี้ปล่อยเด็กโชว์ของเต็มที่
ลิเวอร์พูล
ผู้จัดการทีม : แบร์รี่ ลิวตัส
ลิวตัส มาร่วมงานกับอคาเดมี่ของลิเวอร์พูลตั้งแต่ปี 2013 หลังจากมีประสบการณ์ที่วีแกน และโบลตันมาก่อน โดยเขาเลื่อนจากทีมยู-16 ขึ้นมาคุมยู-18 หลัง “สตีเว่น เจอร์ราร์ด” ไปรับงานคุมกลาสโกว์ เรนเจอร์ส ในช่วงต้นฤดูกาลนี้
จุดแข็งสำคัญของลิวตัส คือเขาเริ่มงานกับนักเตะระดับอายุ 10-13 ปีมาก่อน ก่อนจะค่อยๆ ขยับอายุขึ้นมาเรื่อยๆ ตามประสบการณ์ของเขา กับทีมหงส์แดง เขาเริ่มต้นคุมตั้งแต่ทีมยู-12 และคอยดูแลเด็กอายุ 10-12 ปี ที่อยู่ในสังกัดของทีม ทำให้รู้จักนักเตะอย่างดีในทุกการพัฒนา
นักเตะน่าจับตามอง :
พอล กลัตเซล (กองหน้า)
กัปตันทีมลิเวอร์พูลยู-18 รายนี้ อยู่กับอคาเดมี่ของทีมมาตั้งแต่ชุดยู-9 โดยแม้เขาจะมีพ่อ-แม่เป็นชาวเยอรมัน แต่ก็เกิด และเติบโตที่เมืองลิเวอร์พูล โดยปัจจุบันกลัตเซลในวัย 18 ปี ได้เซ็นสัญญาอาชีพกับสโมสรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จุดเด่นสำคัญของกลัตเซล คือสามารถเล่นได้ทั้งตำแหน่งหมายเลข 9 และ 10 มีความเข้าใจเกมสูง และมีความเฉียบขาดในจังหวะสุดท้ายควบคู่ไปด้วยในตัว เขาเป็นผู้ยิงประตูชัยให้ทีมชนะวัตฟอร์ด 2-1 ในรอบรองชนะเลิศเอฟเอ ยูธ คัพนี้ และลุ้นเป็นกัปตันทีมหงส์แดง ที่จะชูถ้วยสำคัญใบนี้ เป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี
บ๊อบบี้ ดันแคน (กองหน้า)
เมื่อพูดถึงกลัตเซล ก็ต้องพูดถึงบ๊อบบี้ ดันแดนด้วย เพราะทั้งคู่ลงเล่นคู่กันได้มีประสิทธิภาพเสมอ และถือเป็นคู่หน้ามหาประลัย ช่วยกันถล่มประตูให้ชุดยู-18ในซีซั่นนี้ แบบนับไม่ถ้วน
ในตอนแรก ดันแคนเป็นที่จับตาของผู้คน เมื่อครั้งย้ายมาร่วมอคาเดมี่ของลิเวอร์พูล จากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็เพราะเขามีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของสตีเว่น เจอร์ราร์ด ตำนานคนสำคัญของสโมสร แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็ได้พิสูจน์ตัวเองด้วยฟอร์มการเล่น และทำให้ทุกคนเริ่มหันมาสนใจตัวเขาที่ผลงานแทน
ฟอร์มถล่มประตูของเขาในซีซั่นนี้ ทำให้เขาได้มีโอกาส ถูกดันขึ้นไปเล่นชุดยู-23 ในศึกพรีเมียร์ลีก 2 ด้วย ในบางนัด ซึ่งถ้าเขายังรักษาฟอร์มฮ็อตแบบนี้ได้ต่อเนื่อง ไม่แน่เหมือนกันว่าเราอาจจะได้เห็นเขาลงสนามในทีมชุดใหญ่ของหงส์แดง ทีมที่เขาเชียร์มาตั้งแต่เด็กในอนาคตอันใกล้นี้
ไรส์ วิลเลี่ยมส์ (เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ)
เซ็นเตอร์ฮาล์ฟอายุ 18 ปี เป็นดั่งเสาหลักในแนวรับของหงส์แดงชุดยู-18 ขึ้นมาเล่นให้ทีมชุดนี้ตั้งแต่ฤดูกาล 2016/17 ในตอนที่เขาเป็นเพียงนักเตะระดับเยาวชนอายุ 15 ปี
วิลเลี่ยมส์ อยู่กับอคาเดมี่ของหงส์แดงมาตั้งแต่ชุดยู-10 มีจุดเด่นที่รูปร่างสูง และมีความแน่นอนในการเล่น ซึ่งในนัดชิงเอฟเอ ยูธ คัพ นัดสำคัญนี้ หงส์แดงต้องหวังพึ่งเขาอย่างมาก ในการหยุดแนวรุกสุดอันตรายของฝั่งเรือใบสีฟ้า ที่มาจัดเต็มแน่
เอลิจาห์ ดิ๊คสัน-บอนเนอร์ (กองกลาง)
หลังจากอยู่กับอาร์เซน่อลมาตั้งแต่ระดับยู-9 ดิ๊คสัน-บอนเนอร์ย้ายมาร่วมอคาเดมี่ของลิเวอร์พูล ในปี 2015 หรือตอนที่เขาอายุแค่เพียง 14 ปี ก่อนจะเติบโตเป็นกำลังสำคัญของสโมสร และยังได้เป็นกัปตันทีมชาติอังกฤษชุดยู-16 ในเวลาต่อมาด้วย
การพัฒนาของเขาในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวสร้างสรรค์เกม ทำให้เขาได้ขึ้นมาเล่นชุดยู-18 อย่างรวดเร็วภายใต้การคุมทีมของเจอร์ราร์ดเมื่อซีซั่นก่อน รวมถึงติดทีมชาติอังกฤษชุดยู-17 และได้รับสัญญาอาชีพจากสโมสรไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แน่นอนล่ะครับ ว่าการแย่งชิงถ้วยเอฟเอ คัพ รุ่นเด็กนั้น อาจจะไม่มีนัยยะสำคัญอะไรมากนัก กับการแข่งขันอันดุเดือดของทีมชุดใหญ่ ที่กำลังห้ำหั่นเพื่อคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก (หรืออาจจะเป็นศึกยูฟ่า แชมป์เปียนส์ ลีกด้วย หากทั้งคู่ทะลุไปถึงนัดชิงได้)
แต่กำลังใจของเหล่าผู้เล่นเยาวชนที่อุตส่าห์ฝ่าฟันเส้นทางมาถึงรอบชิง ที่จะรู้ดำรู้แดงกันในนัดเดียวแบบนี้ ก็คงทำให้ฟุตบอลเด็กนัดนี้ดุเดือด และน่าดูชมไม่แพ้เวลาที่พี่ๆ ลงสนามปะทะกัน จึงรับประกันว่ามันมีความหมายมากมายเหลือเกินสำหรับพวกเขา
นี่ยังไม่รวมถึง โอกาสกรุยทางสู่อาชีพค้าแข้งอันสดใสในอนาคต ซึ่งการเป็นแชมป์จะทำให้นักเตะเหล่านี้เป็นที่จดจำ อย่างที่เราเห็นนักเตะมากมายเคยทำได้ ไม่ว่าจะเป็น คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย, รูเบน ลอฟตัส-ชีค, พอล ป็อกบา, เจสซี่ ลินการ์ด, คีแรน ทริปเปียร์ ไรอัน กิกส์ หรือเดวิด แบคแฮม ก็ตาม
Picture : This Is Anfield, Twitter, Middlesbrough FC, Liverpool FC, Manchester City FC, UEFA.com, Sport English, Evening Standard, The Times, World Football Scouting, Pinterest, theworldnews