“เอเจ” อดัม จอห์นสัน : จากปีกทีมชาติ สู่นักโทษผู้ขอโอกาสค้าแข้งอีกหน - The Macho
 
Roral Enfield - Hunter 350
728x150 - Nissan Almera
728x150 - Hunter4
“เอเจ” อดัม จอห์นสัน : จากปีกทีมชาติ สู่นักโทษผู้ขอโอกาสค้าแข้งอีกหน

หากย้อนหลังไปราวสิบกว่าปีก่อนหน้านี้ แฟนบอลที่ติดตามชมฟุตบอลพรีเมียร์ลีก คงไม่มีใครไม่รู้จัก “เอเจ” อดัม จอห์นสัน ปีกดาวโรจน์เท้าซ้ายที่เป็นความคาดหวังของเหล่าอิงลิชชน เขาเป็นนักเตะที่โดดเด่นน่าจับตามาตั้งแต่เด็ก ประเดิมสนามให้ทีมชุดใหญ่ของมิดเดิลสโบรซ์ตั้งแต่อายุ 17 ปี ถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ตั้งแต่อายุ 22 และเขาได้ย้ายไปร่วมทีมยักษ์ใหญ่อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตั้งแต่อายุ 23 เคยรับค่าเหนื่อยระดับสัปดาห์ละ 6 หมื่นปอนด์ แต่ใครจะนึกว่า ปีนี้ในวัย 31 ปี เขาจะต้องมาเป็นนักโทษต้องคดีที่ต้องร่อนจดหมายไปยังสโมสรต่างๆ เพียงเพื่อต้องการโอกาสหนที่สอง ในการกลับลงมาเล่นฟุตบอลอีกสักครั้ง

อดัม จอห์นสัน เมื่อตอนขึ้นศาลสู้คดีล่วงละเมิดทางเพศเด็ก

ครับผม อ่านไม่ผิดแน่ครับ เพราะเอเจนั้นไม่ได้เล่นฟุตบอลอาชีพมาตั้งแต่ปี 2016 หรือเกือบ 3 ปี หลังจากถูกต้นสังกัดในตอนนั้นอย่างซันเดอร์แลนด์ยกเลิกสัญญา หลังเจ้าตัวถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง ในคดีล่อลวงเพื่อล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กอายุเพียง 15 ปี ซึ่งเขาถูกตัดสินจำคุก 6 ปี แต่ได้รับการลดโทษกึ่งหนึ่งให้เหลือ 3 ปี จึงทำให้เขาจะถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำในช่วงเดือน มี.ค. นี้ หากการตัดสินให้พ้นโทษมีน้ำหนักเพียงพอว่าเขาจะไม่กลับไปก่อเหตุอีก

หากจะพูดถึงจุดเริ่มต้นของเอเจแล้วนั้น คงต้องย้อนกันไปตั้งแต่เด็ก เพราะไอ้หนูเท้าซ้ายที่เกิดที่เมืองซันเดอร์แลนด์คนนี้ ฝีเท้าโดดเด่นมาตั้งแต่ยังเป็นนักเรียน จนเคยได้รับคำชมจากจอห์นนี่ เฮย์ อดีตตำนานของฟูแล่ม และทีมชาติอังกฤษยุค 50-60 ที่เห็นเขาลงเล่นบอล 7 คนแว้บแรก ก็ออกปากชมว่าเป็นนักเตะเด็กชั้นเยี่ยม และมีเท้าซ้ายที่น่าจับตามาก

ทีมเยาวชนมิดเดิลสโบรซ์ ที่ทะลุไปถึงแชมป์เอฟเอยูธคัพ 2013/14

ถึงแม้เขาจะเกิดที่ซันเดอร์แลนด์ แต่โอกาสเข้าร่วมอคาเดมี่ของเอเจกลับไปเกิดที่นิวคาสเซิล คู่แข่งทีมสำคัญในแดนอีสานของอังกฤษ ก่อนจะย้ายไปอยู่กับมิดเดิลสโบรซ์ตอนอายุ 12 โดยเป็นหนึ่งในนักเตะชุดแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพของโบโร่ ปี 2003/04 ร่วมกับเพื่อนร่วมรุ่นอย่างเดวิด วีเธอร์ เซ็นเตอร์ฮาล์ฟที่ก้าวขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ของโบโร่ในเวลาใกล้เคียงกัน

เส้นทางทีมชุดใหญ่ของเอเจเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 17 มี.ค. ปี 2005 ด้วยวัย 17 ปี เอเจได้ลงสนามกับโบโร่ครั้งแรก ด้วยการเปลี่ยนตัวลงไปเล่นในศึกยูฟ่าคัพฤดูกาล 2004/05 ที่โบโร่พ่ายสปอร์ติ้ง ลิสบอนตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ก่อนจะได้ประเดิมสนามในพรีเมียร์ลีกครั้งแรกในอีก 6 เดือนให้หลัง ในเกมที่เอาชนะอาร์เซน่อล 2-1 และยิงประตูแรกในช่วงปลายฤดูกาล 2005/06 ในแมทช์เสมอกับโบลตัน โดยในฤดูกาลนั้นโบโร่ของสตีฟ แม็คคลาเรน สามารถทะลุเข้าชิงยูฟ่าคัพได้สำเร็จ ก่อนจะพ่ายเซบีญ่าจากสเปนไป 0-4 ซึ่งเอเจเองก็มีโอกาสได้ลงเล่นบ้างประปราย เมื่อทีมต้องการพักตัวผู้เล่น เพื่อเตรียมตัวโฟกัสไปที่ศึกยูฟ่าคัพที่ไปไกลเกินคาด

จากนั้นเอเจถูกส่งออกไปหาประสบการณ์ด้วยการยืมตัวที่ลีดส์ ยูไนเต็ด และวัตฟอร์ดตามลำดับ โดยที่วัตฟอร์ด ในศึกแชมเปี้ยนชิพขณะนั้น เอเจไปเล่นแค่ 3 เดือน ลงเล่น 12 นัด แต่ทำได้ถึง 5 ประตู เรียกว่าร้อนแรงจนโบโร่อดรนทนไม่ได้ต้องเรียกตัวกลับเอามาใช้งานเองเลยทีเดียว

เอเจประเดิมสนามกับโบโร่ตั้งแต่อายุ 17 และได้รับการจับตามาตลอด

เอเจต้องรอถึงฤดูกาล 2008/09 ถึงจะเริ่มได้รับความไว้วางใจลงเล่นมากขึ้นกับโบโร่ โดยเฉพาะในช่วงปลายฤดูกาลที่ปีกตัวหลักอย่างสจ๊วต ดาวนิ่ง ได้รับบาดเจ็บยาว และทีมต้องตกชั้นลงไปสู่แชมเปี้ยนชิพครั้งแรกในรอบ 11 ปี ส่งผลให้ดาวนิ่งย้ายทีมออกไป และเอเจได้กลายเป็นตัวเลือกแรกทันทีในฤดูกาลถัดมา ซึ่งเอเจก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ยิงในลีกถึง 11 ประตู มากที่สุดในทีม และถูกเรียกติดเป็น 30 นักเตะเตรียมทีมลุยบอลโลกของทีมชาติอังกฤษในยุคของฟาบิโอ คาเปลโล่ ได้ลงประเดิมสนามกับทีมชาติในแมทช์อุ่นเครื่อง และแม้จะถูกตัดตัวออกจาก 23 รายชื่อสุดท้าย แต่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ตัดสินใจเซ็นเขากลับมาโลดแล่นในพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง ด้วยค่าตัวราว 7.2 ล้านปอนด์ในช่วงท้ายของตลาดฤดูหนาวในปี 2010

ช่วงพีคในอาชีพค้าแข้ง ซึ่งผลงานกับโบโร่ทำให้เขาติดทีมชาติ และย้ายไปซิตี้

แม้ชีวิตค้าแข้งกับเรือใบสีฟ้าจะสั้นเพียงแค่ 2 ปีครึ่ง แต่ฟอร์มโดยรวมโดยเฉพาะในฤดูกาล 2010/11 ที่เขาได้เล่นร่วมกับคาร์ลอส เตเบซ ก็เคยได้รับคำชมจากคาเปลโล่ว่าเขาจะเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติอังกฤษในอนาคต ก่อนจะโยกย้ายไปร่วมทีมบ้านเกิดอย่างซันเดอร์แลนด์ ที่ทุ่มเงินหลัก 10 ล้านปอนด์ คว้าเขาไปร่วมทีมก่อนฤดูกาล 2012/13 จะเริ่มขึ้น

แน่นอนว่าเอเจคือตัวหลักสำคัญในแนวรุกของทีม ในสองฤดูกาลแรกกับทีมแมวดำ เอเจลงเล่นเกินกว่าฤดูกาลละ 40 นัด ยิงประตูได้รวม 15 ประตู แม้โอกาสกลับไปติดทีมชาติจะไม่มากเหมือนเดิม แต่เขาก็เป็นขวัญใจของทีมบ้านเกิด และด้วยอายุแค่เพียง 25-26 ปี จึงมีข่าวลือการย้ายทีมไปสู่ทีมใหญ่มากมาย ทั้งกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล หรืออาร์เซน่อล

ย้ายไปร่วมทีมบ้านเกิด ด้วยค่าตัวระดับ 10 ล้านปอนด์

ในฤดูกาล 2014/15 ปีที่ 3 กับทีมแมวดำของเอเจ เขายังคงเป็นกำลังสำคัญของทีมในการพาทีมหนีตกชั้น แต่แล้วเมื่อถึงช่วงเดือน มี.ค. ปี 2015 ก็เกิดเรื่องช็อค เมื่อเขามีข่าวไปพัวพันกับการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก และถูกสโมสรแบนระยะสั้นทันที หลังถูกควบคุมตัวในวันที่ 2 มี.ค. ปี 2015 โดยระหว่างการสู้คดี ซันเดอร์แลนด์ยังคงเลือกเอเจลงเล่น แม้จะเคยมีกระแสข่าวต่อต้านอยู่เรื่อยๆ

เอเจคือตัวแสบขาประจำของนิวคาสเซิล เมื่อทั้งสองทีมดวลกันในดาร์บี้แมทช์อีสาน

และฤดูกาลสุดท้ายของเขาก็มาถึงในปีถัดไป ซึ่งเอเจเริ่มต้นซีซั่นได้ไม่ดีนัก ด้วยการได้รับบาดเจ็บ และพักยาวถึง 2 เดือน แม้กลับมาเขาจะไม่ค่อยได้ลงเป็นตัวจริงสักเท่าไหร่ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยสมบูรณ์ แต่ 2 ประตูที่เขาทำได้ในลีกซีซั่นนั้นก็เป็น 2 ประตูสุดแสนสำคัญ ทั้งการยิงใส่นิวคาสเซิลในดาร์บี้แมทช์ภาคอีสาน และอีกลูกในแมทช์ที่ซันเดอร์แลนด์สามารถแบ่งแต้มลิเวอร์พูลได้ ซึ่งเป็นแมทช์สุดท้ายที่เขาได้ลงเล่น ก่อนถูกยกเลิกสัญญา และต้องคดีมีความผิดเพียงแค่ 5 วัน

ว่าด้วยเรื่องความผิดฐานล่วงละเมิดทางเพศเด็กวัยเพียง 15 ปี ว่ากันว่าเอเจติดต่อพูดคุยกับเด็กตั้งแต่เดือน ธ.ค. ปี 2014 ในช่วงที่สเตซี่ ฟลอนเดอร์ ภรรยาของเขาตั้งครรภ์อยู่ โดยมีการนัดเจอเหยื่อในรถ และเริ่มมีพฤติกรรมล่วงละเมิดตามมาในอีก 2 สัปดาห์ให้หลัง ก่อนที่ตำรวจจะซิวตัวเอเจในช่วงเดือน มี.ค. 2015 และคดีมีการตัดสินลงโทษกันในอีกราว 1 ปีถัดมาด้วยมติเป็นเอกฉันท์จากคณะลูกขุน

จากเหตุน่าช็อคดังกล่าว ทำให้มีปฏิกิริยาต่างๆ โต้ตอบตามมาของเรื่องนี้ ทั้งมีการขอให้สมาคมฟุตบอลอังกฤษยึดหมวกติดทีมชาติของเขาคืน (ที่อังกฤษเวลาติดทีมชาติ จะได้รับหมวกเป็นที่ระลึกไว้สะสมเป็นเกียรติประวัติ), การถอนตัวของสปอนเซอร์ส่วนตัว หรือการลบตัวเขาออกจากเกมฟุตบอลต่างๆ, การประณามแซม อัลลาไดซ์ ผู้จัดการทีมซันเดอร์แลนด์ตอนนั้น ที่เลือกใช้งานเอเจ แม้นักเตะจะมีแนวโน้มทำผิดจริง หรือแม้กระทั่งกระแสสังคมที่กดดันเฟย์ จอห์นสัน น้องสาวของเขาที่พยายามต่อสู้เพื่อขอความเห็นอกเห็นใจต่อเอเจ

สเตซี่ ฟลอนเดอร์ ภรรยาสาวของเอเจ ที่ต้องพบกับเรื่องโหดร้ายอย่างไม่คาดฝัน

ในส่วนคนที่รับแรงกดดันหนักที่สุดหนีไม่พ้นสเตซี่ ฟลอนเดอร์ ภรรยาของเอเจ ที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เข้าเต็มๆ โดยเธอยืนยันตัดสัมพันธ์กับเอเจ แต่ก็ยังใจกว้างที่จะให้เอเจได้ลาลูกสาววัยแบเบาะก่อนจะเข้าเรือนจำ และเธอยังคงติดต่อให้ความเชื่อเหลือเท่าที่จำเป็นแก่เอเจ ซึ่งเจอชีวิตในเรือนจำแบบไม่ราบรื่นนัก เพราะเคยมีข่าวโดนทำร้ายรับน้องในช่วงแรกๆ ที่เข้าไปด้วย

ข่าวการพยายามกลับมาขอโอกาสเล่นฟุตบอลอีกครั้งของเอเจ เริ่มเป็นที่พูดถึงในช่วงเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา เมื่อสโมสรฮาร์ทลี่พูลทีมนอกลีกของอังกฤษแสดงความสนใจอยากได้เอเจไปร่วมทีมหลังจากพ้นโทษ จนมีสื่อไปหาข้อมูลเพิ่มเติม พร้อมกับได้ข่าวจากวงใน (ก็ไม่รู้จริงแค่ไหน) ว่าเอเจฟิตร่างกายสม่ำเสมอในยิม และมั่นใจว่าร่างกายของเขาดีกว่าตอนช่วงปลายที่ค้าแข้งกับซันเดอร์แลนด์ ซึ่งตอนนั้นเขาดื่มแอลกอฮอล์ค่อนข้างมาก

น้องสาวของเอเจอย่างเฟย์ ก็เป็นอีกเสียงที่ออกมายืนยันว่าเอเจมุ่งมั่นอยากจะกลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้ง โดยตอนแรกที่เธอได้ยินเรื่องนี้ เธอคิดว่าเขาบ้า แต่เมื่อเห็นความตั้งใจ จึงรู้ว่าเอเจซีเรียส และอยากจะกลับมาลงสนามเต็มแก่

เฟย์ จอห์นสัน น้องสาวของเอเจ โพสต์อัพเดทว่าเอเจใกล้พ้นโทษจำคุก

พูดถึงความน่าจะเป็นที่เอเจจะกลับมาลงสนามได้ ดูน่าจะเป็นงานหินไม่น้อย เพราะตอนที่โดนโทษ เคยโดนสมาคมฟุตบอลอังกฤษอัดหนักว่าเป็นความเสื่อมเสียของฟุตบอล พร้อมกับย้ำว่าโอกาสที่เขาจะกลับมาเล่นนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเป็นที่คาดว่าหนทางที่เขาจะกลับมาเล่นได้คงต้องเป็นต่างแดน ซึ่งอาจจะเป็นประเทศที่ไม่ไกลจากอังกฤษอย่างฝรั่งเศส หรือตุรกี เนื่องจากเขาต้องกลับมารายงานตัวที่อังกฤษในช่วงทัณฑ์บน แล้วถ้าพอไปวัดไปวาได้ ลีกที่เปิดกว้างอย่างจีนอาจจะพอมีลุ้นในอนาคต ส่วนอเมริกาน่าจะหมดสิทธิ์ เพราะประวัติน่าจะทำให้เขาขอวีซ่าได้ยากมาก

ก็นั่นแหละครับ ชีวิตที่เปรียบได้กับโรลเลอร์โคสเตอร์ของอดีตปีกทีมชาติอังกฤษ ที่ช่วงนึงถูกจับตาคาดหวังกันว่าจะเป็นนักเตะอนาคตไกล แต่ตอนนี้กลับเป็นเพียงนักโทษที่ต้องอยู่อย่างไร้อิสรภาพมานานกว่า 3 ปี เพียงเพราะการตัดสินใจทำในสิ่งที่ยั้งคิด ซึ่งแม้โอกาสครั้งที่สองที่จะกลับมาทำสิ่งที่เขารักจะยังไม่ถูกปิดตาย แต่ก็เรียกได้ว่า มันแทบจะไม่เหลืออะไรเป็นรูปเป็นร่างให้คนจดจำเขาอีกแล้ว

Picture : FancyTVChannel, The Guardian, Gazette Live, IBTimes UK, BBC, Daily Mail, Who Ate all the Pies, Daily Star, The Scottish Sun

rocketseer

ทำงาน Sports content | บ้าบอล-เป็น The KOP | (เคย)บ้าดูหนัง-(เคย)ทำเพจหนัง | อยู่บ้านนาน ก็ชักเป็นบ้า!

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save