นักเตะชาวฮอลแลนด์ หรือนักเตะชาว “ดัทช์” ขึ้นชื่อมานานแสนนานนะครับถึงเรื่องทักษะ และเทคนิคการเล่นบอลที่ไม่มีใครเหมือน จึงไม่แปลกเลยที่ทีมที่เล่นฟุตบอลสวยงามอย่าง “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า จะใช้บริการนักเตะดัทช์เป็นประจำตั้งแต่ยุคอดีตจนถึงปัจจุบัน
อย่างเช่นจอมทัพดัทช์รายล่าสุด “แฟรงกี้ เด ยอง” มิดฟิลด์ฟ้าประทานวัย 21 ปี อีกหนึ่งผลผลิตอันเลอค่าจากอคาเดมี่ของ “อาหยักซ์ อัมสเตอร์ดัม” ก็ถูกเจ้าบุญทุ่มเซ็นสัญญาซื้อไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้วในราคาประมาณ 67.5 ล้านปอนด์ โดยฝ่าดงความสนใจจากทีมยักษ์ใหญ่มากมายทั้งในแดนกระทิงดุเอง และดินแดนเมืองผู้ดี ซึ่งสัญญายังจะมีการเพิ่มมูลค่า (Add-on) ไปอีกราว 9.5 ล้านปอนด์ ขึ้นอยู่กับผลงานในอนาคต
แน่นอนครับว่าแฟนๆ เจ้าบุญทุ่มเอง ต่างก็ตื่นเต้นกับการมาของเด ยอง ในฐานะที่เขาเป็นมิดฟิลด์ที่ครบเครื่อง พัฒนาการเล่นที่ดีทั้งเกมรุก และเกมรับ มีความสมดุล ที่น่าจะมาเติมเต็มในแดนกลางของทีม ในวันที่ไร้อันเดรส อิเนสต้า และอายุที่มากขึ้นของอีวาน ราคิติช (31 ปี) และเซร์คิโอ บุสเก็ตต์ (30 ปี) โดยมองว่าเขาคืออนาคตของแดนกลางร่วมกับอาร์ตู และคาร์เลส อเลญ่า ซึ่งได้เริ่มแจ้งเกิดกันไปแล้วในซีซั่นนี้
แต่ก่อนที่เราจะได้ทราบผลกันว่าเด ยอง จะสอบผ่านในคัมป์นูหรือไม่ เราลองมาค้นประวัติดูกันให้ใจชื้นกันหน่อยว่า มีอดีตนักเตะบาร์ซ่าชาวดัทช์คนไหน ที่เคยประสบความสำเร็จกับทีมกันบ้าง
โรนัลด์ คูมัน (1989 – 1995)
กองหลังระดับตำนานชาวดัทช์ มีบทบาทสำคัญอย่างมากตลอด 7 ซีซั่นที่อยู่กับทีม นอกเหนือจากถ้วยรางวัลมากมายที่ทำได้กับทีมทั้ง แชมป์ลา ลีก้า 4 สมัย, ยูโรเปี้ยน คัพ 1 สมัย และ ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพอีก 1 สมัย เขายังยิงประตูให้ทีมมากมายถึง 78 ประตู ด้วยเท้าขวาที่หนักหน่วง รับเหมาทั้งการยิงฟรีคิก และการสังหารจุดโทษ จนถือครองสถิติยิงจุดโทษตุงตาข่ายติดต่อกันมากที่สุดในการเล่นลา ลีก้า ถึง 25 ลูก
การย้ายมายังบาร์เซโลน่าของคูมัน ต้องยกเครดิตให้กับโยฮัน ครัฟฟ์ตำนานชาวดัทช์ที่ดึงตัวเขามา หลังเคยร่วมงานกับคูมัน สมัยที่คุมอาหยักซ์ โดยตลอด 7 ปีของคูมันที่ถิ่นคัมป์นู ครัฟฟ์เป็นผู้จัดการทีมโดยตลอด ซึ่งคูมันเองก็ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมตอบแทนความไว้ใจของกุนซือร่วมชาติ ท่ามกลางสตาร์ดังในยุคนั้นอย่าง ฮริสโต้ สตอยช์คอฟ, โรมาริโอ, เป๊บ กวาดิโอล่า และไมเคิล เลาดรุป
ความสัมพันธ์ของคูมัน และบาร์ซ่า ยังรวมถึงตอนหลังจากที่เขาแขวนสตัดท์ด้วย โดยเขาเข้ามาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมของทีมเจ้าบุญทุ่ม ในช่วงปี 1998-2000 ภายใต้การคุมทีมของหลุยส์ ฟาล กัล หลังเสร็จสิ้นการเป็นผู้ช่วยกุส ฮิดดิงก์ ในทีมชาติฮอลแลนด์ชุดลุยฟุตบอลโลก 1998 โดยหลังจากเป็นผู้ช่วยฟาล กัล ได้ราว 2 ปี คูมันก็ตัดสินใจย้ายไปเป็นกุนซือใหญ่กับวิทเทสส์ อาร์เน็ม ก่อนจะย้ายไปคุมทีมมากมาย ปังบ้าง ร่วงบ้าง จนปัจจุบัน ได้ก้าวขึ้นมาเป็นนายใหญ่ทีมชาติฮอลแลนด์ในที่สุด
มิเชล ไรซิงเกอร์ (1997 – 2004)
ผู้จัดการทีมคนปัจจุบัน ของอาหยักซ์ 2 หรือ จอง อาหยักซ์ ซึ่งเป็นที่เพาะบ่มสตาร์มานักต่อนัก ถือเป็นกองหลังที่คงเส้นคงวาที่สุดหนึ่งในยุคปลายปี 1990 ต่อยุคต้น 2000 โดยตำแหน่งหลักของไรซิงเกอร์คือแบ็คขวา เกมรับที่โดดเด่นของเขา เคยเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่ทำให้อาหยักซ์ ชนะยูโรเปี้ยน คัพมาแล้ว เมื่อปี 1994
ยุคที่เขาเล่นให้บาร์เซโลน่า เป็นยุคการคุมทีมของหลุยส์ ฟาล กัล ก่อนที่จะย้ายไปคุมทีมชาติฮอลแลนด์ โดยเขาสามารถคว้าแชมป์ลา ลีก้า 2 สมัยกับเจ้าบุญทุ่ม บวกด้วยโคปา เดล เรย์อีก 1 สมัย ในปีดับเบิ้ลแชมป์ 1997-98 หรือซีซั้นแรกที่เขาย้ายมาร่วมทีมนั่นเอง
ความฮือฮาที่ขอพูดถึงหน่อยในยุคนั้น คือเมื่อหมดสัญญากับบาร์ซ่า ไรซิงเกอร์ตัดสินใจย้ายมาพรีเมียร์ลีก กับมิดเดิลสโบรซ์ โดยกฏบอสแมน ซึ่งเขาลงเล่นไปเกิน 20 นัดให้ทีม ก่อนจะย้ายกลับบ้านไปร่วมทีม PSV ในฤดูกาลถัดมา
ฟิลิป โคคู (1998 – 2004)
มิดฟิลด์เชิงรับเท้าซ้าย ย้ายมาสร้างพลังแห่งดัทช์ร่วมกับมิเชล ไรซิงเกอร์ ในบาร์เซโลน่า ซีซั่นเดียวกับ พี่น้องเด บัวร์, พาทริค ไคลเวิร์ต และเบาเดไวจ์ เซนเด้น ผนึกกำลังกับ เป๊บ กวาดิโอล่า, ริวัลโด้ และหลุยส์ ฟิโก้ ทำให้ทีมครองแชมป์ลา ลีก้า เป็นสมัยที่ 2 ต่อกัน ภายใต้การคุมทีมของหลุยส์ ฟาล กัล
จุดเด่นของโคคู คือนอกจากจะดีเลย์บอลเกมรุกของคู่แข่งเก่งแล้ว ยังสามารถดันตัวเองถ่างออกไปเล่นเกมรุกทางด้านซ้ายได้อีกด้วย ซึ่งนั่นทำให้เขายิงได้ถึง 12 ประตูในซีซั่นแรก ก่อนจะจบสถิติด้วย 37 ประตู จากการลงเล่น 6 ซีซั่นให้เจ้าบุญทุ่มรวม 291 นัด
นอกเหนือจากการเป็นตัวหลักในยุคที่เต็มไปด้วยสตาร์แล้ว โคคูยังถือเป็นมิดฟิลด์คนสำคัญที่จับคู่กับชาบี้ เอร์นันเดซมาก่อน ในยุคที่ชาบี้เริ่มเติบโตขึ้นมาจากลา มาเซีย ก่อนที่อันเดรส อิเนสต้า จะแจ้งเกิดตามมาอีกคน ซึ่งมาทดแทนการจากไปของเขาได้พอดี
พาทริค ไคลเวิร์ต (1998 – 2004)
หนึ่งในกองหน้าระดับพระกาฬที่ใช้ชีวิตค้าแข้งส่วนใหญ่กับทีมเจ้าบุญทุ่ม ถล่มประตูให้กับทีมมากถึง 122 ประตู จากการลงเล่น 257 นัด เป็นกำลังสำคัญของทีม ในยุคที่เต็มไปด้วยนักเตะดัทช์ของหลุยส์ ฟาล กัล คว้าแชมป์ลา ลีก้า ตั้งแต่ซีซั่นแรกที่ลงเล่น ก่อนจะเป็นกองหน้าคนสำคัญในยุคหลังจากนั้นกับราโดเมียร์ อันทิช และแฟรงก์ ไรจ์การ์ด
สไตล์การเล่นกองหน้าตัวเป้าของไคลเวิร์ต หาได้ยากในปัจจุบัน เขาเป็นผู้เล่นรูปร่างใหญ่ แข็งแรง แต่มีความเร็ว และทักษะฟุตบอลที่ยอดเยี่ยม ความเฉียบขาดที่โดดเด่นมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาได้ย้ายไปเอซี มิลาน ตั้งแต่อายุ 21 ปี แม้จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จในแดนมักกะโรนีนัก แต่ฟาล กัลที่เคยสั่งสอนกันมาที่อาหยักซ์ ก็ไม่ลังเลที่จะซื้อตัวเขามาร่วมทีมหลังอยู่อิตาลีได้แค่ปีเดียว โดยการย้ายตัวของเขาเสร็จสิ้นก่อนเดดไลน์ตลาดซื้อขายแค่เพียงชั่วโมงเดียว
จิโอวานนี่ ฟาน บรองค์ฮอสต์ (2003 – 2007)
หลายคนอาจจะคุ้นตาจากการเล่นของจิโอ ในตำแหน่งแบ็คซ้ายกับบาร์เซโลน่า และทีมชาติฮอลแลนด์ แต่เอาเข้าจริงแล้ว นักเตะเชื้อสายดัทช์-อินโดนีเซียรายนี้ เป็นนักเตะในตำแหน่งกองกลาง โดยเขาเล่นมิดฟิลด์มาตั้งแต่สมัยเล่นให้เฟเยนอร์ด, เรนเจอร์ส หรืออาร์เซน่อล แต่โดนโยกไปเล่นแบ็คซ้ายเมื่อตอนย้ายมาร่วมทีมเจ้าบุญทุ่ม ภายใต้การคุมทีมของกุนซือคนใหม่อย่างแฟรงก์ ไรจ์การ์ด จนในที่สุดในนามทีมชาติ ดิ๊ค แอทโวคาท ก็ใช้เขาเล่นแบ็คแบบที่บาร์ซ่าใช้ ในยูโร 2004
หากเทียบกับระยะเวลาการเล่นให้กับบาร์ซ่าของจิโอแล้ว แม้อาจจะเป็นเพียงแค่ 4 ซีซั่น นับตั้งแต่การยืมตัวมาจากอาร์เซน่อล และใช้ออฟชั่นซื้อขาด แต่การลงเล่นระดับ 155นัดให้ทีม พร้อมกับคว้าลา ลีก้า 2 สมัย และยูฟ่า แชมป์เปียนส์ ลีก 1 สมัย ก็บ่งบอกได้ชัดเจน ว่าเขาประสบความสำเร็จอย่างสูงกับทีมเจ้าบุญทุ่ม
ปัจจุบันด้วยวัย 44 ปี เขาคุมเฟเยนอร์ด ทีมสโมสรที่เขาเติบโตมา ย่างเข้าสู่ปีที่4 โดยสามารถพาทีมหักปากกาเซียนคว้าแชมป์เอเรดิวิซี่ หรือแชมป์ลีกมาครองได้แล้ว 1 สมัยอีกด้วย โดยจิโอประกาศแล้วว่าจะอำลาทีมเมื่อซีซั่น 2018/19 สิ้นสุดลง น่าจับตาดูว่าเขาจะได้ขยับไปคุมทีมที่ใหญ่ขึ้นบ้างมั้ย ไม่แน่เหมือนกัน ว่าเส้นทางของเขา อาจจะมาบรรจบกับบาร์เซโลน่าอีกหนก็ได้ ใครจะไปรู้
โยฮัน ครัฟฟ์ (1973 – 1978 / คุมทีม 1988 – 1996)
ปิดท้ายด้วยคนอื่นคงจะไม่ได้ เพราะนักเตะดัทช์ที่เป็นดั่งตำนานสูงสุดของบาร์เซโลน่า มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น.. “นักเตะเทวดา” โยฮัน ครัฟฟ์
แน่นอนว่าพูดถึงครัฟฟ์ ทุกคนย่อมนึกถึง “โททัล ฟุตบอล” ที่ทำให้ทีมชาติฮอลแลนด์ ถูกกล่าวถึงอย่างมากตอนฟุตบอลโลก 1974 แต่จริงๆ แล้ว หากจะค้นหาจุดเริ่มต้นของโททัล ฟุตบอลที่ว่า นั้นควรเริ่มที่อาหยักซ์ อัมสเตอร์ดัม และกุนซือที่ชื่อ “ไรนุสต์ มิเชล”
รูปแบบการเล่นอันเลื่องชื่อของมิเชล เริ่มต้นขึ้น โดยการเปลี่ยนแปลงผลงานของอาหยักซ์ ที่เกือบจะตกชั้น กลายมาเป็นแชมป์ของลีกฮอลแลนด์ โดยมีนักเตะที่โด่งดังในเวลาต่อมา อย่างครัฟฟ์ และโยฮัน นีสเก้นส์ เป็นฟันเฟืองสำคัญ จากความสำเร็จระดับลีก ก็กลายร่างมาเป็นความสำเร็จระดับจ้าวยุโรป ก่อนกลายเป็นสไตล์ของ “อัศวินสีส้ม” ที่มีมิเชลคุมทีมในบอลโลก 1974 ต่อมา
ของนายเก่าอย่างไรนุสต์ มิเชล ทุ่มซื้อเขาจากอาหยักซ์ ด้วยค่าตัวสถิติโลกในยุคนั้น ครัฟฟ์เป็นที่รักของแฟนบอลทันที ด้วยลีลาการเล่น และความฉลาดปราดเปรื่อง นอกจากนั้นเขายังแสดงจุดยืนอันเป็นที่รักของแฟนบอล ด้วยการตั้งชื่อลูกชายว่า “ยอร์ดี้ (Jordi)” ซึ่งเป็นภาษาคาตาลัน (ยอร์ดี้ ที่เคยเล่นให้แมนฯ ยู และบาร์เซโลน่า นั่นแล) อีกด้วย
ว่ากันในสมัยนั้น แฟนบอลคาตาลัน คิดว่าครัฟฟ์เองย้ายมาบาร์ซ่าช้าไปหน่อย (ย้ายมาตอนอายุ 26 ปี) มิเช่นนั้นจะมีเวลาพาบาร์ซ่าไปได้ไกลกว่านี้ แต่ถ้าลองมองกลับกัน อาหยักซ์ อัมสเตอร์ดัม ที่ครัฟฟ์เติบโตมา ก็กำลังไปได้สวยเช่นกันในยุคนั้น ดังนั้นแล้ว การพาทีมดังแดนกังหัน คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ สมัยที่ 3 แบบ 3 ปีติดต่อกัน ในปี 1973 แล้วค่อยย้ายออกมา จึงถือเป็นการบอกลาที่งดงามและเหมาะสมที่สุด ซึ่งการผจญภัยในแดนกระทิงดุกับบาร์เซโลน่า ครัฟฟ์ลงเล่น 4 ปี ได้แชมป์ลา ลีก้า และโคปา เดล เรย์ อย่างละสมัย
ความยิ่งใหญ่ขั้นกว่าสำหรับโยฮัน ครัฟฟ์ ต้องว่ากันต่อในฐานะผู้จัดการทีม โดยหลังจากเริ่มต้นงานกุนซือกับอาหยักซ์ และพาทีมคว้าแชมป์คัพ วินเนอร์ส คัพ ได้สำเร็จในปี 1987 เขาก็อยู่กับอาหยักซ์ได้อีกเพียงซีซั่นเดียว ก่อนจะถูกแต่งตั้งกลับมายังบ้านหลังที่ 2 ที่คัมป์นู และคุมทีมนานถึง 8 ปี
หลังใช้เวลาปรับจูนทีมอยู่ไม่นาน ฤดูกาลแรกก็พาทีมคว้าแชมป์คัพ วินเนอร์ส์ คัพ ก่อนที่เขาจะกุมบังเหียนพาทีมคว้าลา ลีก้า 4 สมัยติดต่อกันได้สำเร็จ นับตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา ยิ่งไปกว่านั้นในฤดูกาล 1991/92 เขาสามารถพาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ ด้วยการปราบซามพ์โดเรีย 1-0 ในรอบชิงยูโรเปี้ยน คัพ จากฟรีคิกช่วงต่อเวลาพิเศษของโรนัลด์ คูมัน ซึ่งถือเป็นการครองจ้าวยุโรปสมัยแรกของบาร์ซ่าอีกด้วย
โดยหากรวมถ้วยรางวัลทั้งหมดแล้ว ครัฟฟ์คว้าแชมป์รวม 11 ถ้วย เยอะที่สุดในบรรดาผู้จัดการทีมของเจ้าบุญทุ่มจากแคว้นคาตาลันที่ทำได้ในขณะนั้น ก่อนสถิตินี้จะโดนทำลายโดยเป๊บ กวาดิโอล่า ยอดกุนซือแห่งยุค ที่ซิวแชมป์ซะ 15 ถ้วย
จากที่นำเสนอมาให้ดูกับ 6 นักเตะดัทช์ จะเห็นได้ว่านักเตะสายเลือดอัศวินสีส้ม เข้ามามีบทบาทสำคัญในทีมบาร์เซโลน่า กันในหลายช่วงหลายตอนเลยทีเดียว นับตั้งแต่ยุคของโยฮัน ครัฟฟ์เป็นต้นมา แม้ในชุดปัจจุบัน จะมีเพียงผู้รักษาประตูสำรองอย่างแจสเปอร์ ซิลิสเซ่น แต่รับรองว่าฤดูกาลหน้าทุกอย่างน่าจะเปลี่ยนไป เมื่อมี “แฟรงกี้ เด ยอง” มาร่วมทีม
จะหมู่หรือจ่า จะกลายเป็นนักเตะคนสำคัญแบบโคคู จะกลายเป็นตำนานแบบครัฟฟ์ หรือจะแป้กสนิทแบบอิบราฮิม อเฟลลาย อันนี้ไว้มาลองพิสูจน์กัน!
Picture : NigerianEye, Twitter, Everything Barca, CaughtOffside, HITC, Coral News, Goal.com, PSV Inside, Sport360, Listal, Ronaldo.com, Eurosport, Ajaxdialy, Sportskeeda, FourFourTwo, Daily Mail, Fox Sports, Dutch News