การแข่งขันลีกรองของอังกฤษอย่างศึกแชมป์เปี้ยนชิพ ยังไม่จบการแข่งขันดีนะครับ นับตอนที่ผมเขียนบทความ ก็จะเหลือแมทช์การแข่งขันอีก 1-2 นัด ก่อนจะเข้าสู่ช่วงเพลย์ออฟของอันดับ 3-6 เพื่อหาทีมสุดท้ายขึ้นชั้นสู่พรีเมียร์ลีกต่อไป
แต่สำหรับอันดับ 1 และ 2 ที่จะได้เลื่อนชั้นอัตโนมัติ มีการยืนยันเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ ว่าจะเป็น 2 ทีมเก่าแก่อย่าง “เจ้านกขมิ้นเหลืองอ่อน” นอริช ซิตี้ และ “ดาบคู่” เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่ทำแต้มทิ้งห่างอันดับ 3 อย่างลีดส์ ยูไนเต็ด ขาดลอยแล้ว แม้จะยังต้องตัดสินว่าใครจะคว้าแชมป์ของลีกกันไปถึงนัดสุดท้ายก็ตาม
และเพื่อให้เราได้รู้จักน้องใหม่(แต่หน้าเก่า) ให้ดีขึ้นกว่าเดิม เราลองมารู้จักนอริช และเชฟฯ ยู กันหน่อยดีกว่า เพราะมีเรื่องให้น่าสนใจหลายอย่างเลย
“เจ้านกขมิ้นเหลืองอ่อน” นอริช ซิตี้
ย้อนรำลึกทำความรู้จัก
นอริช ซิตี้ เป็นสโมสรที่อยู่ทางแถบตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะอังกฤษ โดยสโมสรที่มีสีประจำทีมเป็นสีเหลือง-เขียวทีมนี้ มีอายุยาวนานมา 117 ปีแล้ว ชื่อฉายาที่บ้านเราเรียกว่า “เจ้านกขมิ้นเหลืองอ่อน” ก็มาจากที่สโมสรมีนก Canary เป็นสัญลักษณ์
กับศึกพรีเมียร์ลีกเอง นอริช ซิตี้ เคยสร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการจบสูงถึงอันดับ 3 ในฤดูกาล 1992/93 ตามหลังเพียง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และแอสตัน วิลล่า เท่านั้น ทั้งๆ ที่ฤดูกาลก่อนหน้าพวกเขายังหนีตกชั้นอยู่เลย
ช่วงยุค 90 นอริชถือเป็นสโมสรที่เพาะบ่มนักเตะที่มีชื่อเสียงในภายหลังหลายคน ไม่ว่าจะเป็น มาร์ค โรบินส์ ดาวซัลโวของทีม ในฤดูกาลที่พวกเขาจบที่ 3, คริส ซัตตัน ที่ซัดในลีกถึง 25 ประตู ก่อนจะย้ายไปคว้าแชมป์ลีกกับแบล็คเบิร์นในเวลาต่อมา, อีฟาน อีโกกู กองหน้าร่างโย่งที่ไปดังกับวิมเบิลดัน หรือไบรอัน กันน์ ผู้รักษาประตูมือดีชาวสก็อตติช (พ่อของแองกัส กันน์ มือ 1เซาแธมป์ตันในปัจจุบัน) ที่รับใช้ทีมอย่างยาวนาน
ครั้งสุดท้ายที่นอริชอยู่ในพรีเมียร์ลีกคือฤดูกาล 2015/16 ซึ่งพวกเขาจบได้เพียงอันดับรองบ๊วย และต้องตกกลับไปยังแชมป์เปี้ยนชิพ โดยสองฤดูกาลถัดจากนั้น นอริชเองก็ดูไม่มีทีท่าจะกลับขึ้นมาง่ายๆ หลังจากจบเพียงอันดับ 8 และ 14 ตามลำดับ
หลังเปลี่ยนกุนซืออยู่พักนึง พวกเขาก็ตัดสินใจเลือกดาเนี่ยล ฟาร์เค่ กุนซือหนุ่มชาวเยอรมัน และความไว้เนื้อเชื่อใจก็เห็นผล แม้ฤดูกาลแรกจะตะกุกตะกักก็ตาม
โดยฤดูกาลนี้ พวกเขาทำผลงานได้ยอดเยี่ยม แพ้เพียงแค่ 6 นัด (น้อยที่สุดในลีก) และถล่มประตูได้มากถึง 91 ประตู (มากที่สุดในลีก) เข้าป้ายเลื่อนชั้นอัตโนมัติ และหากพวกเขาเก็บได้เพียงแค่ 1 แต้มในนัดสุดท้าย ก็จะคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จ
ผู้จัดการทีม : ดาเนี่ยล ฟาร์เค่
ผู้จัดการทีมวัย 42 ปี ชาวเยอรมัน เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เหมือนเป็น “เทรนด์” ในช่วงหลัง ที่ผู้จัดการทีมสำรอง หรือทีม 2 ของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ต้องได้รับการทาบทาม และออกมาแสวงหาความท้าทายในเกาะอังกฤษ เหมือนกับที่ เดวิด วากเนอร์ (ผู้จัดการทีมดอร์ทมุนด์ 2 ก่อนเขา) ประสบความสำเร็จกับฮัดเดอร์ฟิลด์ และแยน ซิเวิร์ต (ผู้จัดการทีมดอร์ทมุนด์ 2 หลังเขา) ที่กำลังก่อร่างสร้างฮัดเดอร์ฟิลด์ขึ้นใหม่
งานของฟาร์เค่ในซีซั่นแรกในศึกแชมป์เปี้ยนชิพนั้นไม่ง่ายเลย เขาทำทีมจบแค่เพียงอันดับ 14 ด้วยสถิติแพ้มากกว่าชนะเสียอีก แถมเมื่อจบฤดูกาล ทีมยังต้องเสียเจมส์ แมดดิสัน เพลย์เมกเกอร์คนสำคัญ ที่เป็นทั้งคนปั้นเกม และดาวซัลโวสูงสุดของทีมไปให้เลสเตอร์ การจะประสบความสำเร็จจึงดูยากเย็นขึ้นไปอีก
แต่ในเมื่อความเชื่อใจของสโมสรที่ยังมีอยู่เต็มเปี่ยม และตัวฟาร์เค่เองก็หวังจะสร้างทีมที่ดีขึ้นในระยะยาว การปรับทีมขนานใหญ่จึงเกิดขึ้น และเมื่อฟาร์เค่ได้นักเตะคนสำคัญอย่างทีมู ปุ๊คกิ และเอมิเลียโน่ บูเอนเดีย มาเสริมทีม นกขมิ้นตัวนี้จึงกระโดดพรวด ขึ้นมาเป็นจ่าฝูง และเลื่อนชั้นได้สำเร็จ
นักเตะสำคัญ
แม็กซ์ อาร์รอน (แบ็คขวา)
นักเตะดาวรุ่งชาวอังกฤษ ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมอย่างเซอร์ไพรส์ในฤดูกาลนี้ ฟอร์มการเล่นที่สม่ำเสมอของอดีตเด็กปั้นจากลูตัน ทาวน์ ทำให้ตอนนี้เขาสามารถยึดตำแหน่งตัวจริงในทีมชาติอังกฤษยู-19 ได้อีกด้วย
แม้ฤดูกาลนี้นอริชเองจะเสียประตูไปเกินหลัก 50 ลูก แต่อาร์รอนและแผงรับคนอื่นๆ อย่าง แบ็คซ้ายจาร์มาล เลวิส (อายุ 21), คริสตอฟ ซิมเมอร์มันน์ (อายุ 26) และเบน ก็อดฟรีย์ (อายุ 21) ก็ได้รับคำชมว่าเล่นได้เหนียวแน่น และน่าจะพร้อมสำหรับพรีเมียร์ลีกซีซั่นหน้าแล้ว
มาร์โก สตีเปอร์มันน์ (มิดฟิลด์ตัวรุก)
มิดฟิลด์ที่เกิดที่ดอร์ทมุนด์ ย้ายจากโบคุ่ม มาร่วมทีมตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว เป็นหนึ่งในกลุ่มนักเตะที่เคยเล่นในสโมสรรองของเยอรมัน ที่ฟาร์เค่พยายามรวบรวมมาช่วยงานที่นอริช ร่วมกับพวกซิมเมอร์มันน์, โอเนล เอร์นานเดซ, ทอม ทรายบูล, มาริโอ วรานซิซ, โมริตซ์ ไลท์เนอร์
สตีเปอร์มันน์ เป็นกำลังสำคัญในแผนของฟาร์เค่ ที่จะมีมิดฟิลด์ตัวรุกสนับสนุนหน้าตัวเป้าอย่างตีมู ปุ๊คกิ โดยในซีซั่นนี้ห้องเครื่องชาวเยอรมันวัย 28 ปี ยิงในลีกไปถึง 9 ประตู
เอมิเลียโน่ บูเอนเดีย (มิดฟิลด์ตัวรุก)
กองกลางดาวรุ่งชาวอาร์เจนไตน์ เคยเป็นเด็กฝึกกับเรอัล มาดริดในช่วงสั้นๆ ก่อนจะย้ายมาลงเล่นกับเกตาเฟ่ และย้ายมาร่วมทีมนอริชในซีซั่นนี้ พร้อมกับระเบิดฟอร์มยิง 8 ประตู และ 12 แอสซิสต์
บูเอนเดีย หรือ “เอมิ” มีความสูงแค่เพียง 1.70 เมตร แต่ถูกทดแทนด้วยความคล่องตัว และเทคนิคที่สามารถเอาตัวรอดในลีกที่ใช้พละกำลังอย่างแชมป์เปี้ยนชิพได้สบาย การจ่ายบอลก็ดีทั้งสั้น-ยาว ต้องมาดูต่อว่าในศึกพรีเมียร์ลีกที่เกมรวดเร็วที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เอมิจะเอาตัวรอดได้ดีแค่ไหน
ทีมู ปุ๊คกิ (ศูนย์หน้า)
กองหน้าพเนจรชาวฟินแลนด์ เล่นมาแล้วทั้งในเยอรมัน, สเปน และสก็อตแลนด์ โดยก่อนที่จะมาอยู่นอริช เขาเป็นกำลังสำคัญในแนวรุกของบรอนด์บี้ ก่อนจะย้ายมาเสี่ยงโชคในอังกฤษเป็นครั้งแรก หลังหมดสัญญากับยอดทีมเดนมาร์ก
และแค่ฤดูกาลแรกกับทีม ปุ๊คกีก็ระเบิดฟอร์มยอดเยี่ยม ด้วยการพังไปถึง 27 ประตูในลีก รั้งตำแหน่งดาวซัลโวของลีกอยู่ในขณะนี้ นอกเหนือจากการจบสกอร์ที่เฉียบคมแล้ว เขายังมีส่วนร่วมสำคัญในเกมรุกในอีกหลายมิติ ทำให้มีสถิติแอสซิสต์มากถึง 9 ลูก
“ดาบคู่” เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด
ย้อนรำลึกทำความรู้จัก
หนึ่งในทีมดังจากเมืองเชฟฟิลด์ มีสัญลักษณ์เป็นดาบคู่ ซึ่งคอลัมนิสต์บ้านเราก็เอามาเรียกเป็นฉายาตามนั้น เชฟฯ ยู ถือเป็นหนึ่งในสโมสรเก่าแก่ของเกาะอังกฤษ มีอายุยืนยาวมากว่า 130 ปี และเคยสัมผัสแชมป์ลีกสูงสุดมาแล้วในฤดูกาล 1897/98 หรือเกินกว่า 100 ที่แล้วนู่น
นับตั้งแต่ช่วงยุคปลายของศึกดิวิชั่น 1 (ชื่อเดิมของลีกสูงสุด) ต่อเนื่องกับช่วงต้นที่เปลี่ยนชื่อมาเป็นพรีเมียร์ลีก ทีมดาบคู่มีศูนย์หน้าคนสำคัญอย่างไบรอัน ดีน ดาวซัลโวขาประจำของทีม ที่ยิงถล่มทลาย ก่อนจะย้ายไปร่วมทีมลีดส์ ยูไนเต็ด และกลับมาร่วมทีมอีกครั้งตอนทีมตกลงไปอยู่ในลีกรอง (แชมป์เปี้ยนชิพในปัจจุบัน) แล้วก็ย้ายออกไปเล่นกับเบนฟิก้า ซึ่งเป็นเรื่องแปลกในสมัยนั้น
ในยุค 20 ปีหลัง มีเพียงฤดูกาล 2006/07 ซีซั่นเดียวเท่านั้น ที่ทีมได้กลับมาสัมผัสลีกสูงสุดอีกครั้ง แต่ด้วยศักยภาพทีมที่ไม่ดีพอ ทำให้พวกเขาตกชั้นกลับไปอย่างรวดเร็ว แถมยังมีช่วงตกลงไปอยู่ลีกวัน (ลีกระดับ 3) นานถึง 6 ปีเลยด้วยซ้ำ
แม้ผลงานของทีมจะย่ำแย่ และต้องตกชั้น แต่หากลองไล่ดูรายชื่อนักเตะชุดปี 2006/07 เราก็จะพอคุ้นชื่อนักเตะอย่าง ฟิล จาเกียลก้า ที่ต่อมาย้ายไปอยู่กับเอฟเวอร์ตันยาว, ไมเคิล ทังก์ กองกลางที่เกือบจะติดทีมชาติอังกฤษ หรือโคลิน คาซิม-ริชาร์ดส์ ตัวรุกเชื้อสายตุรกี ที่เกือบจะดังอยู่ช่วงนึง
การพลิกฟื้นกลับสู่ลีกสูงสุดได้หนแรกในรอบ 13 ปี ของทีมดาบคู่ เกิดจากความสม่ำเสมอ และเลือดนักสู้ที่ผู้จัดการทีมคนปัจจุบัน คริส ไวล์เดอร์ นำเข้ามาสู่ทีม นับตั้งแต่เขาเริ่มคุมทีมในปี 2016 ก่อนจะพาทีมเลื่อนชั้นสู่แชมป์เปี้ยนชิพในปี 2017 และใช้เวลาแค่เพียง 2 ซีซั่น กระโดดกลับไปยังพรีเมียร์ลีกที่พวกเขาคิดถึงอีกครั้ง
ผู้จัดการทีม : คริส ไวล์เดอร์
ฮีโร่ของทีมดาบคู่รายนี้ ถือเป็นกุนซือโนเนมที่แท้จริง เพราะก่อนหน้าที่เขาจะกลับมารับงานคุมเชฟฯ ยู สโมสรที่เขาเป็นเด็กฝึกหัด ลิสต์ของทีมที่เขาเคยคุม มีแค่ฮาลิแฟกซ์, อ๊อกซ์ฟอร์ด และนอร์ธแธมป์ตัน ทีมในลีกระดับล่างทั้งนั้น
ไวล์เดอร์ เริ่มงานด้วยเงินทุนที่น้อยนิด เสริมนักเตะส่วนใหญ่จากการเซ็นฟรี พร้อมกับตั้งบิลลี่ ชาร์ป ศูนย์หน้าลูกหม้อให้เป็นกัปตันทีม เพื่อเรียกสปิริตของทีมกลับมา
ชาร์ป ไม่ทำให้ไวล์เดอร์ต้องผิดหวัง ยิงในลีกถึง 30 ประตู ช่วยให้ทีมได้แชมป์ลีกวัน หลุดพ้นจากการจมปรักอยู่นาน 6 ปี ขึ้นชั้นสู่แชมป์เปี้ยนชิพ ก่อนจะใช้เวลาเพียง 2 ซีซั่น เลื่อนชั้นกลับสู่พรีเมียร์ลีก โดยชาร์ปในวัย 33 ปี ยังคงยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำ ไม่เปลี่ยนแปลง
นักเตะสำคัญ
จอห์น อีแกน (เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ)
กองหลังทีมชาติไอร์แลนด์ ย้ายมาเติมเต็มความแข็งแกร่งของทีมจากเบรนท์ฟอร์ดในซีซั่นนี้ ลงเล่นเป็นกำลังหลักในแนวรับที่เสียประตูน้อยที่สุดในลีก (39 ประตู จาก 45 นัด) ร่วมกับแจ็ค โอ’ดอนเนลล์ และเอ็นดา สตีเว่น
สถิติส่วนตัวของอีแกนน่าสนใจมาก เพราะเขาผ่านบอลสำเร็จถึง 79 % และมีค่าเฉลี่ยในการดวลชนะต่อแมทช์ถึง 4.3 ครั้ง การยืนตำแหน่ง และการเล่นที่ดุดันเด็ดขาดของเขา ก็เป็นอีกคุณสมบัติที่ช่วยพาให้ทีมประสบความสำเร็จในปีนี้
โอลิเวอร์ นอร์วู้ด (กองกลาง)
มิดฟิลด์ไอร์แลนด์เหนืออดีตเด็กปั้นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จในการซื้อตัวของไวล์เดอร์ในซีซั่นนี้ หลังฟอร์มดีจากการยืมตัวมาจากไบรท์ตัน ทีมก็เลยจัดการซื้อขาดแบบไม่ลังเลในตลาดหน้าหนาว มกราคมที่ผ่านมา
นอร์วู้ด เป็น 1ใน 2 นักเตะของทีม (อีกคนคือบิลลี่ ชาร์ป) ที่ติดทีมยอดเยี่ยมของศึกแชมป์เปี้ยนชิพ ด้วยฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยม ยิง 3 ประตู จ่าย 8 แอสซิสต์ เป็นแกนหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเกมของทีมดาบคู่
จอห์น เฟล็ค (กองกลาง)
มิดฟิลด์ชาวสก็อตติช ที่เคยได้รับการยกย่องว่ามีสไตล์การเล่นคล้ายเวย์น รูนีย์ ย้ายออกจากกลาสโกว์ เรนเจอร์ และมาเป็นกำลังหลักให้โคเวนทรี ซิตี้อยู่ 3-4 ปี ก่อนไวล์เดอร์ จะสอยมาร่วมทีมแบบ Free Transfer ตั้งแต่ซีซั่นแรกที่เขาคุมทีม
เฟล็ค เป็นกำลังสำคัญของไวล์เดอร์มาตลอด 3 ซีซั่น เล่นดีทั้งรุกและรับ แม้จะเล่นหนักตามแบบฉบับแข้งสก็อตติช แต่ก็มีไอเดียที่ดีในการสร้างเกมรุก โดยซีซั่นนี้เฟล็คแอสซิสต์ให้เพื่อนไปถึง 9 ลูกด้วยกัน
บิลลี่ ชาร์ป (ศูนย์หน้า)
กองหน้ากัปตันทีมคนสำคัญของทีมดาบคู่ พิสูจน์แล้วว่าอายุที่มากขึ้นไม่ได้เป็นอุปสรรคในการระเบิดฟอร์มพังประตูให้กับทีม ชาร์ปยิงไปแล้ว 24 ประตูในลีก และประสานงานกับเดวิด แม็คโกลด์ดริก ได้อย่างดี แม้บางทีจะสลับเป็นสำรองบ้าง แต่เขาก็ติดทีมยอดเยี่ยมของแชมป์เปี้ยนชิพได้ในที่สุด
นอกเหนือจากฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยม ชาร์ปยังเป็นศูนย์กลางสำคัญในการปลุกพลังให้กับทีม โดยการมาอยู่กับดาบคู่หนนี้ เป็นหนที่ 3 ของเจ้าตัว และเป็นครั้งที่ประสบความสำเร็จสูงสุดอย่างไม่ต้องสงสัย
สำหรับการเพลย์ออฟของอันดับ 3-6 นั้น 3 ทีมแรกจะเป็นลีดส์ ยูไนเต็ด (หลายคนแอบเชียร์^^), เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน และแอสตัน วิลล่า แน่นอนแล้ว เหลืออีก 1 ที่นั่งที่ยังต้องลุ้นกันหนักไปจนนัดสุดท้ายระหว่าง ดาร์บี้ เคาน์ตี้, มิดเดิลสโบรซ์ และบริสตอล ซิตี้
เมื่อได้ 3 ทีมเลื่อนชั้นเรียบร้อยแล้ว ก็จะเหลือเวลาตระเตรียมทีมของ “น้องใหม่” อีกราว 3 เดือน ซึ่งพวกเขาต้องลืมความสำเร็จในศึกแชมป์เปี้ยนชิพซีซั่นนี้ออกไปให้หมด และเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด ก่อนจะเจอกับความหฤโหดของศึกพรีเมียร์ลีก ที่ไม่มีแม้แต่เวลาให้พวกเขาได้ฮันนีมูนแน่นอน
Picture : Tribuna, The Japan Times, Evening Standard, The42, Sky Sports, 90Min, Eastern Daily Press, The Times, Yle, Bleacher Report, Premier League Heroes, Liverpool Echo, Football League World, Sheffield United News, SuperSport