รู้จักน้องใหม่พรีเมียร์ลีก : "นกขมิ้น" นอริช และ "ดาบคู่" เชฟฯ ยู - The Macho
 
Roral Enfield - Hunter 350
728x150 - Nissan Almera
728x150 - Hunter4
รู้จักน้องใหม่พรีเมียร์ลีก : “นกขมิ้น” นอริช และ “ดาบคู่” เชฟฯ ยู

การแข่งขันลีกรองของอังกฤษอย่างศึกแชมป์เปี้ยนชิพ ยังไม่จบการแข่งขันดีนะครับ นับตอนที่ผมเขียนบทความ ก็จะเหลือแมทช์การแข่งขันอีก 1-2 นัด ก่อนจะเข้าสู่ช่วงเพลย์ออฟของอันดับ 3-6 เพื่อหาทีมสุดท้ายขึ้นชั้นสู่พรีเมียร์ลีกต่อไป

แต่สำหรับอันดับ 1 และ 2 ที่จะได้เลื่อนชั้นอัตโนมัติ มีการยืนยันเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ ว่าจะเป็น 2 ทีมเก่าแก่อย่าง “เจ้านกขมิ้นเหลืองอ่อน” นอริช ซิตี้ และ “ดาบคู่” เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่ทำแต้มทิ้งห่างอันดับ 3 อย่างลีดส์ ยูไนเต็ด ขาดลอยแล้ว แม้จะยังต้องตัดสินว่าใครจะคว้าแชมป์ของลีกกันไปถึงนัดสุดท้ายก็ตาม

นอริช ซิตี้ กับการฉลองเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก หลังตกลงมา 3 ซีซั่น
หลังห่างหายจากพรีเมียร์ลีกนาน 13 ปี สปิริตนักสู้ของเชฟฯ ยู ก็พาพวกเขากลับมาจนได้

และเพื่อให้เราได้รู้จักน้องใหม่(แต่หน้าเก่า) ให้ดีขึ้นกว่าเดิม เราลองมารู้จักนอริช และเชฟฯ ยู กันหน่อยดีกว่า เพราะมีเรื่องให้น่าสนใจหลายอย่างเลย

“เจ้านกขมิ้นเหลืองอ่อน” นอริช ซิตี้

ย้อนรำลึกทำความรู้จัก

นอริชช่วงต้น ’90 ที่เคยบินสูงถึงจบอันดับ 3 ในซีซั่น 1992/93

นอริช ซิตี้ เป็นสโมสรที่อยู่ทางแถบตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะอังกฤษ โดยสโมสรที่มีสีประจำทีมเป็นสีเหลือง-เขียวทีมนี้ มีอายุยาวนานมา 117 ปีแล้ว ชื่อฉายาที่บ้านเราเรียกว่า “เจ้านกขมิ้นเหลืองอ่อน” ก็มาจากที่สโมสรมีนก Canary เป็นสัญลักษณ์

กับศึกพรีเมียร์ลีกเอง นอริช ซิตี้ เคยสร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการจบสูงถึงอันดับ 3 ในฤดูกาล 1992/93 ตามหลังเพียง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และแอสตัน วิลล่า เท่านั้น ทั้งๆ ที่ฤดูกาลก่อนหน้าพวกเขายังหนีตกชั้นอยู่เลย

ช่วงยุค 90 นอริชถือเป็นสโมสรที่เพาะบ่มนักเตะที่มีชื่อเสียงในภายหลังหลายคน ไม่ว่าจะเป็น มาร์ค โรบินส์ ดาวซัลโวของทีม ในฤดูกาลที่พวกเขาจบที่ 3, คริส ซัตตัน ที่ซัดในลีกถึง 25 ประตู ก่อนจะย้ายไปคว้าแชมป์ลีกกับแบล็คเบิร์นในเวลาต่อมา, อีฟาน อีโกกู กองหน้าร่างโย่งที่ไปดังกับวิมเบิลดัน หรือไบรอัน กันน์ ผู้รักษาประตูมือดีชาวสก็อตติช (พ่อของแองกัส กันน์ มือ 1เซาแธมป์ตันในปัจจุบัน) ที่รับใช้ทีมอย่างยาวนาน

นอริชชุดสุดท้ายที่ตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกเมื่อ 3 ปีก่อน มีที่คุ้นตาก็นาธาน เร้ดมอนด์ (แจ๊กเก็ตแดง)

ครั้งสุดท้ายที่นอริชอยู่ในพรีเมียร์ลีกคือฤดูกาล 2015/16 ซึ่งพวกเขาจบได้เพียงอันดับรองบ๊วย และต้องตกกลับไปยังแชมป์เปี้ยนชิพ โดยสองฤดูกาลถัดจากนั้น นอริชเองก็ดูไม่มีทีท่าจะกลับขึ้นมาง่ายๆ หลังจากจบเพียงอันดับ 8 และ 14 ตามลำดับ

หลังเปลี่ยนกุนซืออยู่พักนึง พวกเขาก็ตัดสินใจเลือกดาเนี่ยล ฟาร์เค่ กุนซือหนุ่มชาวเยอรมัน และความไว้เนื้อเชื่อใจก็เห็นผล แม้ฤดูกาลแรกจะตะกุกตะกักก็ตาม

โดยฤดูกาลนี้ พวกเขาทำผลงานได้ยอดเยี่ยม แพ้เพียงแค่ 6 นัด (น้อยที่สุดในลีก) และถล่มประตูได้มากถึง 91 ประตู (มากที่สุดในลีก) เข้าป้ายเลื่อนชั้นอัตโนมัติ และหากพวกเขาเก็บได้เพียงแค่ 1 แต้มในนัดสุดท้าย ก็จะคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จ

ผู้จัดการทีม : ดาเนี่ยล ฟาร์เค่

ฟาร์เค่ กุนซือชาวเยอรมัน ที่นอริชดึงมาจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 2

ผู้จัดการทีมวัย 42 ปี ชาวเยอรมัน เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เหมือนเป็น “เทรนด์” ในช่วงหลัง ที่ผู้จัดการทีมสำรอง หรือทีม 2 ของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ต้องได้รับการทาบทาม และออกมาแสวงหาความท้าทายในเกาะอังกฤษ เหมือนกับที่ เดวิด วากเนอร์ (ผู้จัดการทีมดอร์ทมุนด์ 2 ก่อนเขา) ประสบความสำเร็จกับฮัดเดอร์ฟิลด์ และแยน ซิเวิร์ต (ผู้จัดการทีมดอร์ทมุนด์ 2 หลังเขา) ที่กำลังก่อร่างสร้างฮัดเดอร์ฟิลด์ขึ้นใหม่

งานของฟาร์เค่ในซีซั่นแรกในศึกแชมป์เปี้ยนชิพนั้นไม่ง่ายเลย เขาทำทีมจบแค่เพียงอันดับ 14 ด้วยสถิติแพ้มากกว่าชนะเสียอีก แถมเมื่อจบฤดูกาล ทีมยังต้องเสียเจมส์ แมดดิสัน เพลย์เมกเกอร์คนสำคัญ ที่เป็นทั้งคนปั้นเกม และดาวซัลโวสูงสุดของทีมไปให้เลสเตอร์ การจะประสบความสำเร็จจึงดูยากเย็นขึ้นไปอีก

หลังใช้เวลาปรับจูนในซีซั่นแรก ซีซั่นที่ 2 ของฟาร์เค่ ก็สามารถพานอริชระเบิดฟอร์มสำเร็จ

แต่ในเมื่อความเชื่อใจของสโมสรที่ยังมีอยู่เต็มเปี่ยม และตัวฟาร์เค่เองก็หวังจะสร้างทีมที่ดีขึ้นในระยะยาว การปรับทีมขนานใหญ่จึงเกิดขึ้น และเมื่อฟาร์เค่ได้นักเตะคนสำคัญอย่างทีมู ปุ๊คกิ และเอมิเลียโน่ บูเอนเดีย มาเสริมทีม นกขมิ้นตัวนี้จึงกระโดดพรวด ขึ้นมาเป็นจ่าฝูง และเลื่อนชั้นได้สำเร็จ

นักเตะสำคัญ

แม็กซ์ อาร์รอน (แบ็คขวา)

อาร์รอน แบ็คขวาดาวรุ่งทีมชาติอังกฤษยู-19 ที่น่าจับตามองอย่างมาก

นักเตะดาวรุ่งชาวอังกฤษ ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมอย่างเซอร์ไพรส์ในฤดูกาลนี้ ฟอร์มการเล่นที่สม่ำเสมอของอดีตเด็กปั้นจากลูตัน ทาวน์ ทำให้ตอนนี้เขาสามารถยึดตำแหน่งตัวจริงในทีมชาติอังกฤษยู-19 ได้อีกด้วย

แม้ฤดูกาลนี้นอริชเองจะเสียประตูไปเกินหลัก 50 ลูก แต่อาร์รอนและแผงรับคนอื่นๆ อย่าง แบ็คซ้ายจาร์มาล เลวิส (อายุ 21), คริสตอฟ ซิมเมอร์มันน์ (อายุ 26) และเบน ก็อดฟรีย์ (อายุ 21) ก็ได้รับคำชมว่าเล่นได้เหนียวแน่น และน่าจะพร้อมสำหรับพรีเมียร์ลีกซีซั่นหน้าแล้ว

มาร์โก สตีเปอร์มันน์ (มิดฟิลด์ตัวรุก)

สตีเปอร์มันน์ มิดฟิลด์เกมรุกชาวเยอรมัน ซึ่งเข้ามายกระดับการเล่นของทีมได้ชัดเจน

มิดฟิลด์ที่เกิดที่ดอร์ทมุนด์ ย้ายจากโบคุ่ม มาร่วมทีมตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว เป็นหนึ่งในกลุ่มนักเตะที่เคยเล่นในสโมสรรองของเยอรมัน ที่ฟาร์เค่พยายามรวบรวมมาช่วยงานที่นอริช ร่วมกับพวกซิมเมอร์มันน์, โอเนล เอร์นานเดซ, ทอม ทรายบูล, มาริโอ วรานซิซ, โมริตซ์ ไลท์เนอร์

สตีเปอร์มันน์ เป็นกำลังสำคัญในแผนของฟาร์เค่ ที่จะมีมิดฟิลด์ตัวรุกสนับสนุนหน้าตัวเป้าอย่างตีมู ปุ๊คกิ โดยในซีซั่นนี้ห้องเครื่องชาวเยอรมันวัย 28 ปี ยิงในลีกไปถึง 9 ประตู

เอมิเลียโน่ บูเอนเดีย (มิดฟิลด์ตัวรุก)

บูเอนเดีย มิดฟิลด์ร่างเล็กอาร์เจนไตน์ ซึ่งเล่นได้วูบวาบ มีประสิทธิภาพ

กองกลางดาวรุ่งชาวอาร์เจนไตน์ เคยเป็นเด็กฝึกกับเรอัล มาดริดในช่วงสั้นๆ ก่อนจะย้ายมาลงเล่นกับเกตาเฟ่ และย้ายมาร่วมทีมนอริชในซีซั่นนี้ พร้อมกับระเบิดฟอร์มยิง 8 ประตู และ 12 แอสซิสต์ 

บูเอนเดีย หรือ “เอมิ” มีความสูงแค่เพียง 1.70 เมตร แต่ถูกทดแทนด้วยความคล่องตัว และเทคนิคที่สามารถเอาตัวรอดในลีกที่ใช้พละกำลังอย่างแชมป์เปี้ยนชิพได้สบาย การจ่ายบอลก็ดีทั้งสั้น-ยาว ต้องมาดูต่อว่าในศึกพรีเมียร์ลีกที่เกมรวดเร็วที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เอมิจะเอาตัวรอดได้ดีแค่ไหน

ทีมู ปุ๊คกิ (ศูนย์หน้า)

ปุ๊คกิ กองหน้าฟินนิชจอมพเนจร ซึ่งระเบิดฟอร์มถล่มประตูทันทีในซีซั่นแรกที่ย้ายมา

กองหน้าพเนจรชาวฟินแลนด์ เล่นมาแล้วทั้งในเยอรมัน, สเปน และสก็อตแลนด์ โดยก่อนที่จะมาอยู่นอริช เขาเป็นกำลังสำคัญในแนวรุกของบรอนด์บี้ ก่อนจะย้ายมาเสี่ยงโชคในอังกฤษเป็นครั้งแรก หลังหมดสัญญากับยอดทีมเดนมาร์ก

และแค่ฤดูกาลแรกกับทีม ปุ๊คกีก็ระเบิดฟอร์มยอดเยี่ยม ด้วยการพังไปถึง 27 ประตูในลีก รั้งตำแหน่งดาวซัลโวของลีกอยู่ในขณะนี้ นอกเหนือจากการจบสกอร์ที่เฉียบคมแล้ว เขายังมีส่วนร่วมสำคัญในเกมรุกในอีกหลายมิติ ทำให้มีสถิติแอสซิสต์มากถึง 9 ลูก

“ดาบคู่” เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด

ย้อนรำลึกทำความรู้จัก

คิดถึงดาบคู่ยุคคลาสสิก ก็ต้องคิดถึงไบรอัน ดีน ศูนย์หน้าจอมถล่มประตูสมัยนั้น

หนึ่งในทีมดังจากเมืองเชฟฟิลด์ มีสัญลักษณ์เป็นดาบคู่ ซึ่งคอลัมนิสต์บ้านเราก็เอามาเรียกเป็นฉายาตามนั้น เชฟฯ ยู ถือเป็นหนึ่งในสโมสรเก่าแก่ของเกาะอังกฤษ มีอายุยืนยาวมากว่า 130 ปี และเคยสัมผัสแชมป์ลีกสูงสุดมาแล้วในฤดูกาล 1897/98 หรือเกินกว่า 100 ที่แล้วนู่น

นับตั้งแต่ช่วงยุคปลายของศึกดิวิชั่น 1 (ชื่อเดิมของลีกสูงสุด) ต่อเนื่องกับช่วงต้นที่เปลี่ยนชื่อมาเป็นพรีเมียร์ลีก ทีมดาบคู่มีศูนย์หน้าคนสำคัญอย่างไบรอัน ดีน ดาวซัลโวขาประจำของทีม ที่ยิงถล่มทลาย ก่อนจะย้ายไปร่วมทีมลีดส์ ยูไนเต็ด และกลับมาร่วมทีมอีกครั้งตอนทีมตกลงไปอยู่ในลีกรอง (แชมป์เปี้ยนชิพในปัจจุบัน) แล้วก็ย้ายออกไปเล่นกับเบนฟิก้า ซึ่งเป็นเรื่องแปลกในสมัยนั้น

ฟิล จาเกียลก้า ในชุดดาบคู่ หนึ่งในขุนพลของทีมเมื่อตอนเล่นพรีเมียร์ครั้งสุดท้าย

ในยุค 20 ปีหลัง มีเพียงฤดูกาล 2006/07 ซีซั่นเดียวเท่านั้น ที่ทีมได้กลับมาสัมผัสลีกสูงสุดอีกครั้ง แต่ด้วยศักยภาพทีมที่ไม่ดีพอ ทำให้พวกเขาตกชั้นกลับไปอย่างรวดเร็ว แถมยังมีช่วงตกลงไปอยู่ลีกวัน (ลีกระดับ 3) นานถึง 6 ปีเลยด้วยซ้ำ

แม้ผลงานของทีมจะย่ำแย่ และต้องตกชั้น แต่หากลองไล่ดูรายชื่อนักเตะชุดปี 2006/07 เราก็จะพอคุ้นชื่อนักเตะอย่าง ฟิล จาเกียลก้า ที่ต่อมาย้ายไปอยู่กับเอฟเวอร์ตันยาว, ไมเคิล ทังก์ กองกลางที่เกือบจะติดทีมชาติอังกฤษ หรือโคลิน คาซิม-ริชาร์ดส์ ตัวรุกเชื้อสายตุรกี ที่เกือบจะดังอยู่ช่วงนึง

การพลิกฟื้นกลับสู่ลีกสูงสุดได้หนแรกในรอบ 13 ปี ของทีมดาบคู่ เกิดจากความสม่ำเสมอ และเลือดนักสู้ที่ผู้จัดการทีมคนปัจจุบัน คริส ไวล์เดอร์ นำเข้ามาสู่ทีม นับตั้งแต่เขาเริ่มคุมทีมในปี 2016 ก่อนจะพาทีมเลื่อนชั้นสู่แชมป์เปี้ยนชิพในปี 2017 และใช้เวลาแค่เพียง 2 ซีซั่น กระโดดกลับไปยังพรีเมียร์ลีกที่พวกเขาคิดถึงอีกครั้ง

ผู้จัดการทีม : คริส ไวล์เดอร์

คริส ไวล์เดอร์ จากผู้จัดการทีมโนเนมลีกล่าง กลายเป็นฮีโร่พาทีมสู่พรีเมียร์ลีก

ฮีโร่ของทีมดาบคู่รายนี้ ถือเป็นกุนซือโนเนมที่แท้จริง เพราะก่อนหน้าที่เขาจะกลับมารับงานคุมเชฟฯ ยู สโมสรที่เขาเป็นเด็กฝึกหัด ลิสต์ของทีมที่เขาเคยคุม มีแค่ฮาลิแฟกซ์, อ๊อกซ์ฟอร์ด และนอร์ธแธมป์ตัน ทีมในลีกระดับล่างทั้งนั้น

ไวล์เดอร์ เริ่มงานด้วยเงินทุนที่น้อยนิด เสริมนักเตะส่วนใหญ่จากการเซ็นฟรี พร้อมกับตั้งบิลลี่ ชาร์ป ศูนย์หน้าลูกหม้อให้เป็นกัปตันทีม เพื่อเรียกสปิริตของทีมกลับมา

ไวล์เดอร์ เมื่อครั้งฉลองแชมป์ลีกวัน หลังเข้ามาคุมทีมได้เพียงซีซั่นเดียว

ชาร์ป ไม่ทำให้ไวล์เดอร์ต้องผิดหวัง ยิงในลีกถึง 30 ประตู ช่วยให้ทีมได้แชมป์ลีกวัน หลุดพ้นจากการจมปรักอยู่นาน 6 ปี ขึ้นชั้นสู่แชมป์เปี้ยนชิพ ก่อนจะใช้เวลาเพียง 2 ซีซั่น เลื่อนชั้นกลับสู่พรีเมียร์ลีก โดยชาร์ปในวัย 33 ปี ยังคงยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำ ไม่เปลี่ยนแปลง

นักเตะสำคัญ

จอห์น อีแกน (เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ)

อีแกน อดีตกัปตันทีมเบรนท์ฟอร์ด ที่เชฟฯ ยูซื้อตัวมาร่วมทีมได้ถูกที่ถูกเวลา

กองหลังทีมชาติไอร์แลนด์ ย้ายมาเติมเต็มความแข็งแกร่งของทีมจากเบรนท์ฟอร์ดในซีซั่นนี้ ลงเล่นเป็นกำลังหลักในแนวรับที่เสียประตูน้อยที่สุดในลีก (39 ประตู จาก 45 นัด) ร่วมกับแจ็ค โอ’ดอนเนลล์ และเอ็นดา สตีเว่น

สถิติส่วนตัวของอีแกนน่าสนใจมาก เพราะเขาผ่านบอลสำเร็จถึง 79 % และมีค่าเฉลี่ยในการดวลชนะต่อแมทช์ถึง 4.3 ครั้ง การยืนตำแหน่ง และการเล่นที่ดุดันเด็ดขาดของเขา ก็เป็นอีกคุณสมบัติที่ช่วยพาให้ทีมประสบความสำเร็จในปีนี้

โอลิเวอร์ นอร์วู้ด (กองกลาง)

นอร์วู้ด อดีตเด็กปั้นปีศาจแดง ซึ่งเข้ามาเพิ่มพลังขับเคลื่อนในแดนกลางของดาบคู่

มิดฟิลด์ไอร์แลนด์เหนืออดีตเด็กปั้นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จในการซื้อตัวของไวล์เดอร์ในซีซั่นนี้ หลังฟอร์มดีจากการยืมตัวมาจากไบรท์ตัน ทีมก็เลยจัดการซื้อขาดแบบไม่ลังเลในตลาดหน้าหนาว มกราคมที่ผ่านมา

นอร์วู้ด เป็น 1ใน 2 นักเตะของทีม (อีกคนคือบิลลี่ ชาร์ป) ที่ติดทีมยอดเยี่ยมของศึกแชมป์เปี้ยนชิพ ด้วยฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยม ยิง 3 ประตู จ่าย 8 แอสซิสต์ เป็นแกนหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเกมของทีมดาบคู่

จอห์น เฟล็ค (กองกลาง)

เฟล็ค มิดฟิลด์ขาดุสก็อตติช ที่อยู่กับทีมของไวล์เดอร์ มาตั้งแต่ต้น

มิดฟิลด์ชาวสก็อตติช ที่เคยได้รับการยกย่องว่ามีสไตล์การเล่นคล้ายเวย์น รูนีย์ ย้ายออกจากกลาสโกว์ เรนเจอร์ และมาเป็นกำลังหลักให้โคเวนทรี ซิตี้อยู่ 3-4 ปี ก่อนไวล์เดอร์ จะสอยมาร่วมทีมแบบ Free Transfer ตั้งแต่ซีซั่นแรกที่เขาคุมทีม

เฟล็ค เป็นกำลังสำคัญของไวล์เดอร์มาตลอด 3 ซีซั่น เล่นดีทั้งรุกและรับ แม้จะเล่นหนักตามแบบฉบับแข้งสก็อตติช แต่ก็มีไอเดียที่ดีในการสร้างเกมรุก โดยซีซั่นนี้เฟล็คแอสซิสต์ให้เพื่อนไปถึง 9 ลูกด้วยกัน

บิลลี่ ชาร์ป (ศูนย์หน้า)

ถ้าพูดถึงเชฟฯ ยู ในช่วง 3-4 ปีหลัง หน้าของบิลลี่ ชาร์ปจะลอยมาก่อนใครเพื่อน

กองหน้ากัปตันทีมคนสำคัญของทีมดาบคู่ พิสูจน์แล้วว่าอายุที่มากขึ้นไม่ได้เป็นอุปสรรคในการระเบิดฟอร์มพังประตูให้กับทีม ชาร์ปยิงไปแล้ว 24 ประตูในลีก และประสานงานกับเดวิด แม็คโกลด์ดริก ได้อย่างดี แม้บางทีจะสลับเป็นสำรองบ้าง แต่เขาก็ติดทีมยอดเยี่ยมของแชมป์เปี้ยนชิพได้ในที่สุด

นอกเหนือจากฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยม ชาร์ปยังเป็นศูนย์กลางสำคัญในการปลุกพลังให้กับทีม โดยการมาอยู่กับดาบคู่หนนี้ เป็นหนที่ 3 ของเจ้าตัว และเป็นครั้งที่ประสบความสำเร็จสูงสุดอย่างไม่ต้องสงสัย

ลีดส์ และแอสตัน วิลล่า 2 ทีมใหญ่ที่จะต้องตะลุยเพลย์ออฟเพื่อชิงตั๋วเลื่อนชั้นใบสุดท้าย

สำหรับการเพลย์ออฟของอันดับ 3-6 นั้น 3 ทีมแรกจะเป็นลีดส์ ยูไนเต็ด (หลายคนแอบเชียร์^^), เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน และแอสตัน วิลล่า แน่นอนแล้ว เหลืออีก 1 ที่นั่งที่ยังต้องลุ้นกันหนักไปจนนัดสุดท้ายระหว่าง ดาร์บี้ เคาน์ตี้, มิดเดิลสโบรซ์ และบริสตอล ซิตี้

เมื่อได้ 3 ทีมเลื่อนชั้นเรียบร้อยแล้ว ก็จะเหลือเวลาตระเตรียมทีมของ “น้องใหม่” อีกราว 3 เดือน ซึ่งพวกเขาต้องลืมความสำเร็จในศึกแชมป์เปี้ยนชิพซีซั่นนี้ออกไปให้หมด และเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด ก่อนจะเจอกับความหฤโหดของศึกพรีเมียร์ลีก ที่ไม่มีแม้แต่เวลาให้พวกเขาได้ฮันนีมูนแน่นอน

Picture : Tribuna, The Japan Times, Evening Standard, The42, Sky Sports, 90Min, Eastern Daily Press, The Times, Yle, Bleacher Report, Premier League Heroes, Liverpool Echo, Football League World, Sheffield United News, SuperSport

rocketseer

ทำงาน Sports content | บ้าบอล-เป็น The KOP | (เคย)บ้าดูหนัง-(เคย)ทำเพจหนัง | อยู่บ้านนาน ก็ชักเป็นบ้า!

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save