เขียนบทความนี้ก็ปวดใจไปนะครับ จนถึงตอนนี้เหลืออีก 1 นัดสุดท้ายในพรีเมียร์ลีก แม้ลิเวอร์พูลจะทำแต้มได้สูงถึง 94 แต้ม (และจะเป็น 97 แต้ม หากชนะวูล์ฟนัดสุดท้าย) แต่ก็ยังไม่วายเป็นแค่พระรอง เพราะ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พี่แกเล่นเก็บไปแล้ว 95 แต้ม ต้องการเพียงชัยชนะในการเยือนไบรท์ตันอีกนัดเดียว ก็จะเป็นแชมป์แน่นอน และทำแต้มได้สูงถึง 98 แต้ม
พูดถึงตัวเลข 97 แต้มของลิเวอร์พูล (ในกรณีชนะนัดส่งท้าย) จะถือเป็นแต้มที่ทำได้สูงสุดเป็นอันดับที่ 3 ในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีก โดยจะเป็นรองแค่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อฤดูกาลที่แล้ว (2017/18) ที่ทำได้ 100 แต้ม และซิตี้ในฤดูกาลนี้ ที่พวกเขาน่าจะจบที่ 98 แต้มตามที่ว่า
ซึ่งถ้าจบแบบนี้ ถือว่าโหดร้ายมากสำหรับหงส์แดง แต่ในทางกลับกัน ก็ต้องชื่นชมความยอดเยี่ยมระดับเวิร์ลคลาสของเรือใบเขาด้วย ที่ทำแต้มเป็นสถิติได้ 2 ฤดูกาลติดกัน
แน่นอนครับว่า ไม่มีใครสงสัยในคุณภาพทีมของซิตี้ในขวบปีหลัง เพราะเกือบทั้งหมด ก็ยกย่องพวกเขาขึ้นเป็นทีมอันดับ 1 ของโลกเหนือบาร์เซโลน่าด้วยซ้ำ (ก่อนพวกเขาจะตกรอบ อัตราเต็งแชมป์ของซิตี้ เป็นเต็ง 1 เสมอมา)
แต่ถ้าลองมองให้ลึกลงไปในรายละเอียด การผันเปลี่ยนจากความตะกุกตะกักครั้งปราชัยนิวคาสเซิลเมื่อ 29 ม.ค. เป็นชัยชนะ 13 นัดรวด มีตัวแปรสำคัญบางอย่าง ที่มันพิเศษกว่ามาตรฐานของซิตี้ที่ผ่านมา ซึ่งวันนี้เราจะหยิบเอามาพูดกัน
ราฮีม สเตอร์ลิ่ง
หากดูจากผลงานโดยรวมของราฮีมในซีซั่นนี้แล้ว คงไม่แปลกใจที่เขาเข้าป้ายซิวรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของ PFA เพราะตัวเขามีบทบาทสำคัญต่อเกมรุกของซิตี้ชัดเจนในหลายมิติ ทั้งการทำประตู, การวิ่งทำทาง, การปั่นป่วนแนวรับ หรือการผ่านให้เพื่อนทำประตู
แต่สิ่งที่เราเห็นพัฒนาการของราฮีมได้ชัดเจนในช่วง 13 นัดที่ชนะรวด คือเขามีการเล่นที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก ซึ่งส่งผลต่อความไว้วางใจจากเป๊บ ซึ่งกล้าปรับเปลี่ยนตำแหน่งของเขา เพื่อสร้างประโยชน์ให้ทีมเมื่อพวกเขาต้องการประตู
แน่นอนว่าตำแหน่งประจำของแกที่เราเห็นชินตาคือเกมรุกด้านข้าง โดยส่วนใหญ่จะประจำการด้านซ้าย เพราะขวาซีซั่นนี้มีแบร์นาโด้ ซิลวา ส่วนเจ้าของตำแหน่งเดิมอย่างลีรอย ซาเน่ ก็ฟอร์มไม่ค่อยสม่ำเสมอนัก
แต่นอกเหนือจากตำแหน่งแนวรุกด้านข้างแล้ว ราฮีมยังถูกปรับไปเล่นในอีกหลากหลายตำแหน่ง ทั้งกองหน้าตัวต่ำ, กองหน้าตัวเป้า รวมถึงกองกลางตัวรุก ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาเคยแป้กมาแล้ว ในทีมชาติอังกฤษ แต่เป๊บสามารถปรับจูน และเพาะบ่มเขาจนสามารถเล่นทุกตำแหน่งที่ว่าได้ลงตัวหมด โดยเฉพาะการเป็นตัวดึงความสนใจให้นักเตะคนอื่น มีพื้นที่ว่างมากยิ่งขึ้น
อิลกาย กุนโดกัน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าราว 2 ใน 3 ของฤดูกาล นักเตะที่ซิตี้ขาดไม่ได้คือแฟร์นันดินโญ่ เพราะเมื่อทีมขาดมิดฟิลด์เชิงรับชาวบราซิเลี่ยนไปทีไร มักจะเสียขบวนในแดนกลาง และได้ผลการแข่งขันที่ไม่เป็นใจอยู่เรื่อย
แต่กับช่วง 13 นัดที่ชนะรวดช่วงท้าย กลายเป็นว่าแฟร์นันดินโญ่ ลงเล่นเกินกว่า 50 นาทีไปเพียง 6 นัดเท่านั้น แต่ซิตี้ไม่ได้รับผลกระทบจากจุดนี้เลย เพราะพวกเขามีอิลกาย กุนโดกัน ที่กลับมาเล่นได้เนียนตาทันเวลาพอดี
แม้กุนโดกันจะไม่ได้มีเกมรับที่โดดเด่นเท่าแฟร์นันดินโญ่ แต่มิดฟิลด์เยอรมันเชื้อสายเติร์ก ก็ทดแทนมันด้วยความสมดุล ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทีมทั้งรุกและรับ การเคลื่อนที่รับบอล และการออกบอลไปแดนหน้าของเขา เป็นจุดเด่นที่ทำให้ทีมได้ประโยชน์ชัดเจน
หากกุนโดกันสามารถรักษาสภาพร่างกายให้สมบูรณ์ตลอดซีซั่น เชื่อแน่ว่าเขาจะเป็นกำลังสำคัญของซิตี้ไปอีกอย่างน้อย 2-3 ปี เพราะเป๊บเองก็ชื่นชอบสไตล์การเล่นของกุนโดกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
แวงซ็องต์ กอมปานี
อย่าคิดว่าเราเลือกกัปตันกอมปานีมาเป็นเหตุผล เพราะลูกที่เขาตะบันใส่เลสเตอร์จากระยะ 30 หลาหรอก เพราะเราเลือกเขาจากฟอร์มการเล่นในช่วงโค้งสำคัญ ซึ่งเขานำความแน่นอนมาสู่เกมรับของซิตี้ต่างหาก
จริงๆ แล้วซีซั่นนี้ ก็เป็นเหมือน 1-2 ซีซั่นหลัง ที่กอมปานีมีปัญหาสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ และแทบจะไม่ได้เล่นเลยกว่าครึ่งค่อนฤดูกาล
แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงที่ความกดดันถาโถมในโค้งสำคัญ เขาก็พร้อมลงสนาม และทำให้เป๊บไม่ลังเลที่จะเลือกเขาจับคู่กับอายเมริก ลาปอร์ต ส่งผลให้ทีมเล่นได้แน่นอนขึ้นในแดนหลัง สอดคล้องกับแผนที่เป๊บเอง เน้นการครองบอลมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
3 นัดหลังถือเป็น 3 นัดสำคัญที่ซิตี้ได้ประโยชน์จากกอมปานีเต็มๆ โดยเฉพาะนัดที่ต้องไปเยือนเบิร์นลีย์ ทีมที่เล่นในบ้านได้ดุดัน และเน้นไดเร็คฟุตบอลไปยังแดนหน้า ลูกทีมของฌอน ไดช์ไม่สามารถทำปัญหาอะไรกับแนวรับของซิตี้ได้เลย เพราะความนิ่ง และการอ่านเกมที่ยอดเยี่ยมในช่วงชี้เป็นชี้ตายของกอมปานี และลาปอร์ต
แบร์นาโด้ ซิลวา
แม้หลายคนจะชื่นชอบกุน อเกวโร่ หรือราฮีม ที่มักจะแว้บเข้าไปในกรอบเขตโทษเพื่อจู่โจมฝั่งตรงข้ามเสมอ แต่ส่วนตัวแล้ว นักเตะคนสำคัญของซิตี้ในซีซั่นนี้ ผมขอยกให้แบร์นาโด้ ซิลวา แนวรุกโปรตุกีส ที่ระเบิดฟอร์มในซีซั่นนี้ได้โคตรจะโดดเด่น
จุดสำคัญของแบร์นาโด้ คือความขยันทุ่มเทที่ไม่มีหมด เทคนิคการไปกับบอล และการผ่านบอลก็ทำได้ยอดเยี่ยม หาข้อผิดพลาดได้น้อยมาก เขาคือตัวรุกด้านขวาซึ่งเพิ่มมิติเข้ามาให้แนวรับทีมคู่แข่งจับตายซิตี้ได้ยากยิ่งขึ้น สังเกตได้เลยว่าบอลไปที่เขาบ่อยครั้ง โดยเฉพาะเวลาที่ซิตี้ต้องเจอกับทีมที่รับลึก
ฟอร์มการเล่นที่สม่ำเสมอของเขา นอกจากจะเป็นกำลังสำคัญที่แทบขาดไม่ได้ ยังส่งผลให้ริยาด มาร์เรซ แทบไม่มีโอกาสลงเล่นเลยในช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง
เป๊บ กวาดิโอล่า
ท้ายที่สุด ถ้าไม่ชม “กึ๋น” ของกุนซืออย่างเป๊บ ก็คงจะลำเอียงไปหน่อย เพราะเป๊บแสดงให้เห็นว่า เขาเป็นกุนซือที่ต้องการชัยชนะอยู่เสมอ และซีซั่นนี้ (โดยเฉพาะช่วงโค้งสุดท้าย) ก็ยิ่งพิสูจน์ว่าเป๊บเขี้ยวลากดินไม่แพ้กุนซือคนใด
เรื่องปรัชญาการครองบอล และการจู่โจมเกมรุกนั้นคงไม่ต้องขยายความกันมาก เพราะซิตี้จะเน้นการทำประตูให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เสมอ ถ้าไม่ใช่แมทช์ที่ต้องต่อกรกับคู่แข่งที่มีเกมรุก หรือเกมสวนกลับระดับเทพ เป๊บจะให้ทีมเดินหน้าทำประตูทันที จึงไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมซิตี้ไม่มีสถิติทำประตูตัดสินเกมในช่วงท้ายเลย เพราะนอกเหนือจากนัดที่พลาดพลั้ง พวกเขาตบทีมอื่นกระจายหมดตั้งแต่เวลายังไม่เดินไปถึงนาทีที่ 60-70 เลย
แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไป คือเป๊บมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้นในการวางแผนลงเล่น เขาพร้อมจะดึงเล่นเกมแบบดูเชิงมากขึ้น (อย่างที่เล่นกับลิเวอร์พูลที่แอนฟิลด์) และรู้จักปิดเกมเมื่อทีมนำด้วยสกอร์แค่ 1-0 หรือ 2-0 โดยเป๊บ ใช้การปิดโอกาสคู่แข่งที่จะยิงตรงกรอบ หรือสร้างโอกาสยิงประตูได้เนี้ยบขึ้น เมื่อเทียบกับซีซั่นก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด
ตัวอย่างง่ายๆ ก็เช่น เขายอมถอดตัวรุกออก เพื่อเปลี่ยนเอาเซ็นเตอร์ฮาล์ฟอย่างจอห์น สโตนส์ ลงมารักษาสกอร์ช่วงท้าย เพื่อขันเกมรับให้แน่นหนา ซึ่งเราจะไม่ค่อยได้เห็นเป๊บทำนัก กับการคุมทีมไม่ว่าจะกับบาร์ซ่า, บาเยิร์น หรือกับซิตี้เองในช่วงปีแรกๆ
นอกจากนั้น เป๊บยังฉลาดที่จะปรับเปลี่ยนแผนทันทีเมื่อเห็นว่าทีมไม่ได้เปรียบ หรือยังไม่ได้ประตูที่ต้องการ ซึ่งเป็นผลที่ดีจากการที่เขาเพาะบ่มนักเตะอย่างราฮีม, กุนโดกัน หรือแบร์นาโด้ จนได้ที่ และพร้อมมอบหมายหน้าที่ที่แตกต่างออกไป ในแต่ละช่วงเวลาของเกม ซึ่งต้องการจังหวะเข้าทำต่างกัน
ความละเอียดรอบคอบ และการเล่นเพื่อผลการแข่งขันที่ชัดเจนขึ้นของเป๊บ บวกกับเงินเสริมทีมที่ซิตี้พร้อมจะเปย์หากเป๊บต้องการ ทำให้พวกเขากลายเป็น “ธานอส” ที่ยากจะต่อกรขึ้นทุกที แม้ UCL จะเป็นเป้าหมายที่ซิตี้อยากได้เหลือเกิน แต่กับในลีก พวกเขาเอาจริงเสมอ เห็นได้จากแต้มระดับเฉียด 100 (และแตะ 100 ไปแล้วซีซั่นที่แล้ว) ที่ซิตี้ทำได้ และดูท่าจะทำได้ต่อไปเรื่อยๆ ในซีซั่นถัดๆ ไป
ก็นั่นล่ะครับอย่างที่เคยเขียนไปเกี่ยวกับสิ่งที่ลิเวอร์พูลควรภูมิใจในซีซั่นนี้ (อยากย้อนไปอ่าน >> คลิกที่นี่เล้ย <<) เพราะพวกเขาสู้ได้สุดใจขาดดิ้นที่สุดแล้ว กับการต่อกรกับ “ธานอส” อย่าง “เรือใบสีฟ้า” ซึ่งแทบจะหาจุดอ่อนไม่เจอ ถึงมันจะไม่ถึงขั้นเป็น 1 ใน 14 ล้าน ของคุณหมอแปลก แต่ซิตี้ก็ใกล้เคียงความโหดระดับนั้นขึ้นทุกที ว่ามั้ยล่ะ!
Picture : Starspost, 90Min, TimesLIVE, Man City Core, talkSPORT, Football News, Goal.com, Eurosport, Sky Sports, Manchester City FC, Bitter and Blue, Dhaka Tribune, USA Today