เสรีภาพการแสดงออกหรือการพูดนั้นเป็นสิทธิมนุษยชนตามกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองรวมถึงเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยด้วย ซึ่งหมายความว่าทุกคนสามารถแสดงออกความรู้สึกนึกคิดผ่านทางการพูด การแสดงท่าทาง ตัวหนังสือ เสียงเพลง ภาพถ่าย ภาพกราฟฟิก และภาพเคลื่อนไหวได้ทั้งบนหน้ากระดาษหรือโลกออนไลน์ การเดินขบวนประท้วงเป็นวิธีเรียกร้องทางการเมืองยอดฮิต แต่การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองผ่านบทเพลงก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ฮอตไม่แพ้กัน
ศิลปินมักเป็นกระบอกเสียงถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของประชาชนไปยังรัฐบาลหรือสายตาชาวโลกเพื่อเปลี่ยนเสียงเล็กๆ ให้กลายเป็นเสียงดังพอจะแก้ไขปัญหาต่างๆ โลกของการเมืองกับเสียงเพลงจึงเป็นของคู่กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งช่วงเกิดสงครามเหล่าศิลปินทั่วโลกต่างระบายความในใจ ฝากแง่คิด ไปกับบทเพลงออกมาจำนวนมาก
แต่กรณีเหตุการณ์จำกัดสิทธิในการแสดงความคิดเห็นและการเข้าถึงบทเพลง “ประเทศกูมี” ของกลุ่มแร็ปเปอร์ Rap Against Dictatorship นั้นทำให้อดตั้งคำถามไม่ได้จริงๆ ว่าสิทธิเหล่านั้นของคนไทยหายไปไหนตั้งแต่รัฐประหารเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ?
แต่ไม่เป็นไรในเมื่อฟังเพลงสะท้อนการเมืองไทยไม่ได้ วันนี้เรามี 6 บทเพลงเสียดสีการเมืองที่นิยามคำว่า “ดนตรีเปลี่ยนโลก” มาฝาก ฟังได้ไม่ต้องกลัวโดนจับแน่นอน
1. John Lennon – Imagine (1971)
หนึ่งในบทเพลงดีที่สุดตลอดกาลและได้รับการยกย่องว่าช่วยสร้างอิทธิพลต่อทั่วโลกในการเคลื่อนไหวทางการเมือง จอห์น เลนนอน (John Lennon) ลงมือแต่งเพลงนี้ขึ้นมาช่วงสงครามเวียดนามกำลังร้อนระอุเพื่อเรียกร้องให้มนุษย์หันมาสนใจในประเด็นสันติภาพอันไร้ซึ่งกำแพงทางศาสนา เชื้อชาติ และตระหนักเรื่องวัตถุนิยมผ่านการจินตนาการ เขาเชื่อว่าบทเพลงที่มีเนื้อหาทางการเมืองเข้มข้นแต่มีทำนองนุ่มนวลจะช่วยให้ผู้ฟังสามารถรับสารได้มากกว่า ความหมายขอเพลงจึงตีความได้หลากหลายตามบริบทที่เปลี่ยนไป แต่มักถูกนำมาใช้ในแง่ของการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับประเทศที่กำลังเผชิญไฟสงคราม
2.The Beatles – Revolution (1968)
บทเพลงของสี่เต่าทองที่แต่งเนื้อร้องหลักโดย จอห์น เลนนอน (อีกแล้ว)โดยได้แรงบันดาลใจมาจากการปฎิวัติฝรั่งเศสของนักศึกษาและชนชั้นแรงงานในกรุงปารีส เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ. 1968 เนื้อเพลงและบริบทรอบข้างจึงเกี่ยวข้องกับสถานการณ์การเมืองโลกในมุมมองของเขาขณะนั้นอันสื่อให้เห็นถึงความไม่พอใจต่อปัญหาและต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแต่ก็ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ใช้ความรุนแรง ซึ่งการปฎิวัติฝรั่งเศสถือว่าประสบความสำเร็จในเชิงฐานะการปฏิวัติทางสังคม ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยต่างก็ได้รับอิทธิพลจากเหตุการณ์ครั้งนั้นให้ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม เมื่อเพลงถูกปล่อยออกมาจึงเกิดเสียงวิจารณ์จำนวนมากจากสื่อฝ่ายซ้ายว่าความคิดของเขานั้นเป็นการไม่กล้าเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลง The New Left Review เรียกมันว่า “การร้องไห้ด้วยความกลัวของชนชั้นกลาง”
3.Bob Dylan – A Hard Rain’s A-Gonna Fall (1963)
สุดยอดเพลงประท้วงสุดคลาสสิคจากอัลบั้มชุดที่สองของบ็อบ ดีแลน(Bob Dylan ) นักดนตรีคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมปี 2016 บทเพลงนี้แต่งขึ้นก่อนเกิดวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา ระหว่างสหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียตและประเทศคิวบา ที่บานปลายจนเกือบกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ ในช่วงปี 1962 โดยพูดถึงผลพวงจากสงครามเย็นอันส่งผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์ การเน้นย้ำวลี “it’s a hard” ช่วงท่อนฮุคช่วยสื่อสารและสร้างการจดจำให้ผู้คนรับรู้ถึงอันตรายของนิวเคลียร์ว่ามันกำลังจะโปรยปรายลงมาอย่างหนักคล้ายสายฝน บทเพลงของเขาถูกยกย่องกันว่าคือบทกวีที่มีทำนอง นอกจากความสวยงามของภาษาแล้วเนื้อหาบทเพลงยังสามารถสะท้อนการเมืองและสังคมอเมริกาได้ถึงแก่น
4. Marvin Gaye – What’s Goin’ On (1971)
นี่บทเพลงที่เปลี่ยนโลกของแนวดนตรีโซล อาร์แอนด์บีไปเลย เพราะในยุคนั้นเพลงโซลถูกวางไว้ในฐานะบทเพลงจรรโลงจิตใจ พูดถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เป็นส่วนใหญ่ แต่ What’s Goin’ On มีนัยยะเกี่ยวกับสังคมและการเมือง บทเพลงนี้เดิมทีเป็นของ โรนัลโด โอบี เบนสัน (Renaldo Obie Benson) หนึ่งในสมาชิกวงประสานเสียง The Four Tops ซึ่งแต่งขึ้นมาเพื่อตัดพ้อตำรวจจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมประท้วงต่อต้านการทำสงครามเวียดนามในสหรัฐอเมริกาหรือ “Bloody Thursday” ช่วงแรกเพลงนี้ถูกคัดค้านอย่างหนักจากผู้บริหารค่ายเพลงและสมาชิกในวงจนเขาต้องพับโปรเจ็คนี้ไปก่อน แต่เมื่อเขาได้พบมาร์วิน เกย์ (Marvin Gaye) เพลงนี้ก็ถูกรื้อกลับมาทำให้สมบูรณ์อีกครั้งและเมื่อปล่อยออกมาก็ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก จนกลายเป็นเพลงต่อต้านความเวียดนามอย่างเป็นทางการไปโดยปริยาย
5. Bob Marley And The Wailers – Get Up Stand Up (1973)
หากไม่ใช่แฟน บ๊อบ มาร์เลย์ (Bob Marley)ใครจะรู้ว่าบทเพลงเร้กเก้จังหวะสนุกจะแฝงความนัยทางการเมืองเอาไว้ Get up stand up คือบทเพลงอมตะในการปลุกใจให้ผู้คนลุกขึ้นมาทวงสิทธิตัวเอง และเป็นบทเพลงสุดท้ายที่เขาแสดงสดบนเวทีก่อนจะเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง มาเลย์และสมาชิกวง The Wailers ร่วมกันแต่งขึ้นโดยได้แรงบันดาลใจจากการเดินทางไปยังเกาะแคริบเบียนในประเทศเฮติและพบปัญหาความยากจน เนื้อเพลงท่อน “You can fool some people sometimes but you can’t fool all the people all the time คุณสามารถหลอกบางคนได้บางครั้ง แต่คุณไม่สามารถหลอกทุกคนได้ตลอดเวลา” กลายเป็นประโยคคลาสสิคที่ทิ้งแง่คิดไว้ให้ชาวโลกตระหนักถึงความจริง แล้วลุกขึ้นต่อสู้กับมัน ดนตรีของ Bob Marley And The Wailers ช่วย สร้างความสุขให้คนจาไมก้า จุดประกายชาติซิมบับเวและปลอบประโลมเพื่อนชาวอาฟริกันพลัดถิ่นทั่วทุกมุมโลก
6. Joan Baez – We Shall Overcome
บทเพลงนี้เป็นสัญลักษณ์ของกระบวนการต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมืองชาวผิวสีในสหรัฐฯ มาตั้งแต่การประท้วงหน้าอนุสรณ์สถาน Lincoln Memorial เมื่อปี 1936 โดยแรกเริ่มเป็นเพลงขับร้องในโบสถ์ แต่ต่อมา พีท ซีเกอร์ (Pete Seeger) และ โจน ไบซ์ (Joan Baez) ศิลปินเพลงโฟล์คได้ปรับเปลี่ยนเนื้อร้องแล้วนำมาขับร้องร่วมกับมวลชนกว่า 300,000 คน ในการชุมนุมครั้งนั้น ทำให้บทเพลงนี้กลายเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายและได้รับการขับขานแทบทุกหนแห่งที่มีการประท้วงเพื่อเรียกร้องสิทธิ ต่อต้านสงคราม หรือแม้การประท้วงของนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ล่าสุดเมื่อปี 2016 การประท้วงของคนผิวสีกรณี Black Lives Matter ชาวผิวสีก็ออกมารวมตัวกันขับร้องบทเพลงเดิมบนถนนเส้นเดิมอีกครั้งเพื่อต่อสู้กับประเด็นอคติทางชาติพันธุ์หลังจากเกิดเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจยิงชายผิวสีสองคน