ย้อนรอย 6 คดีปมมรดก เปิดศึกสายเลือด เชือดกันเอง เพราะอำนาจของเงินที่อยู่เหนือสายสัมพันธ์!! - The Macho
 
Roral Enfield - Hunter 350
728x150 - Nissan Almera
728x150 - Hunter4
ย้อนรอย 6 คดีปมมรดก เปิดศึกสายเลือด เชือดกันเอง เพราะอำนาจของเงินที่อยู่เหนือสายสัมพันธ์!!

ว่าด้วยเรื่องของอำนาจ ความโลภ ที่อยู่เหนือความสัมพันธ์ทางสายเลือด แม้จะเกิดในตระกูลเดียวกัน กินข้าวหม้อเดียวกัน แต่ความหอมหวานของอำนาจเงินนั้น มันวัดใจกันไม่ได้ เมื่อคำว่าสายเลือด มันไม่เข้มข้นพอที่จะยับยั้งกิเลสในใจมนุษย์ เมื่อความถูกใจ มันอยู่เหนือความถูกต้อง เมื่อผลประโยชน์ไม่ลงตัว คำว่าครอบครัวก็ไม่มีความหมาย สุดท้ายก็จบลงที่การฆาตกรรม ซึ่งวันนี้เราจะมาย้อนรอยคดีดัง ที่เกิดจากปมมรดก ที่ถูกตัดสินด้วยชีวิต ไปดูกันว่า ทำไมอำนาจของเงิน มันจึงข้นกว่าสายเลือด

1. “ตระกูลธรรมวัฒนะ”

มาเริ่มกันที่ มหากาพย์คดีที่โด่งดังสุดๆ อย่าง ตระกูลธรรมวัฒนะ คงไม่มีใครไม่รู้จัก ซึ่งตระกูลดังนี้เป็นเจ้าของตลาดสดยิ่งเจริญ อยู่ย่านสะพานใหม่ ที่ปัจจุบันมีมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาทเลยทีเดียว แต่เรื่องราวที่ทำให้ผู้คนจดจำและติดตามกันได้มากที่สุดนั่นก็คือ ปมการเสียชีวิตของคนในครอบครัวทั้งหมด 5 ศพ ที่ถูกเชื่อมโยงว่าเป็นประเด็นในเรื่องของทรัพย์สินมรดกที่มีมูลค่ามหาศาลของ “นางสุวพีร์ ธรรมวัฒนะ” ที่ตกลงกันไม่ได้ สุดท้ายจึงนำมาซึ่งการหักล้างกันในครอบครัว กลายเป็นคดีดังที่ผู้คนให้ความสนใจ และติดตามกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งก็มีการฟ้องร้องกันมากถึง 48 คดี เลยทีเดียว

สำนวนที่ว่า “ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย” ดูท่าว่าจะใช้ได้จริง ซึ่งจากปมมรดกของตระกูลธรรมวัฒนะนี้ ก็ส่งผลให้เกิดคดีฆาตกรรมซ่อนเงื่อนเกิดขึ้นหลายคดี จากการที่เหล่าทายาทมีปัญหาความขัดแย้ง ในเรื่องของการแบ่งทรัพย์สินที่ไม่ลงตัว และความขัดแย้งนี้ ก่อให้เกิดการแย่งชิงสมบัติเลือด สุดท้ายแล้วก็จบลงที่การฆาตกรรม และทำให้คดีของตระกูลนี้ตกเป็นข่าวดังที่ทุกสื่อได้รายงานข่าวการเสียชีวิต ของคนในตระกูลนี้อย่างต่อเนื่อง และตั้งปมไปในทิศทางเดียวกันคือนั้นก็คือ “ผลประโยชน์จากการแบ่งมรดก” นั่นเอง ซึ่งก็ดูจะมีน้ำหนักมากที่สุด

เปิดไทม์ไลน์ไล่เรียงเหตุการณ์กันที่คดีแรก เริ่มเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2525 นางสาว กุสุมา ธรรมวัฒนะ ซึ่งเป็นน้องสาวของห้างทอง ได้ถูกลอบยิงเสียชีวิต และต่อมา เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2533 นางนัยนา ตามประกอบ น้องคนที่ 6 ของครอบครัวถูกอุ้มไปฆ่าอย่างทารุณ และหลังจากนั้นไม่นาน ก็ตกเป็นข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อ “ผู้ใหญ่แดง” หรือนายเทอดชัย ธรรมวัฒนะ ซึ่งเป็นพี่ชายคนโตของตระกูล ที่ถูกอุ้มหายไป ในวันที่ 25 สิงหาคม 2534…

จนกระทั่งคดีมาถึงคดีการตายอย่างมีเงื่อนงำ ของนายห้างทอง ธรรมวัฒนะ พี่ชายคนโตของตระกูลดัง ที่เสียชีวิตไป เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2542  ภายในบ้านพักย่านสะพานใหม่ จนทำให้ นายนพดล ธรรมวัฒนะ ผู้เป็นน้องชาย ได้ตกเป็นผู้ต้องหา ต่อมาวันที่ 1 กันยายน 2553 ศาลอุทธรณ์ พิพากษา ยืนตามศาลชั้นต้น ได้ยกฟ้องนายนพดล เนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ จากคดีดังกล่าว ทำให้ต่างฝ่ายต่างก็ผลัดกันฟ้องร้อง ซึ่งแบ่งเป็นคดีแพ่ง 43 คดี และคดีอาญา 5 คดี

ความยืดยาวของคดีความใน ตระกูลธรรมวัฒนะ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ก็กินเวลายาวนานมากว่า 14 ปีแล้ว ที่ศึกสายเลือด ที่เกิดจากปมแย่งชิงมรดกของตระกูลดัง ธรรมวัฒนะ หลังการสูญเสียบุคคลในตระกูลธรรมวัฒนะที่เต็มไปด้วยคราบเลือด ทำให้หลายๆคนขนานนามว่าเป็นมหากาพย์ของคดี “มรดกเลือด” ที่ปิดฉากลงด้วยการเจรจา และสุดท้ายก็จบลงที่การประนีประนอมยอมความ ซึ่งทุกฝ่ายก็สามารถตกลง และไกล่เกลี่ยกันได้ในที่สุด จากเค้าโครงคดีดังของตระกูลนี้ ว่ากันว่ามีความคล้ายคลึงกับเนื้อหาซีรีส์ชื่อดังอย่าง “เลือดข้นคนจาง” เรียกว่าเป็นซีรีส์ที่ได้รับกระแสแรงใช้ได้เลยทีเดียว

2. “ตระกูลแดงสุภา หรือ น้ำพริกเผาแม่ประนอม”

ถัดมาที่แบรนด์น้ำพริกชื่อดัง อย่าง “น้ำพริกเผาแม่ประนอม” ตระกูลแดงสุภา ถึงแม้ว่าคดีนี้จะยังไม่บานปลายถึงขั้นเอาชีวิตกัน แต่ปมปัญหาระหว่างแม่-ลูก เมื่อแม่ประนอมยื่นฟ้องลูกสาวคนโต  หลังจากที่ลูกสาวคนโตไม่ยอมทำตามข้อตกลงที่ได้ทำสัญญาไว้ พร้อมทั้งมีการปลอมแปลงเอกสาร รวมถึงการโอนทรัพย์สินส่วนหนึ่งคืนให้แก่ผู้เป็นแม่ที่ก่อตั้งแบรนด์น้ำพริกชื่อดัง

เปิดฉากความขัดเเย้ง ศึกสายสัมพันธ์ระหว่างเเม่ ลูก ในตระกูล “เเดงสุภา”  หรือที่รู้จักกันในนาม แบรนด์ “น้ำพริกเผาแม่ประนอม” เมื่อนางประนอม แดงสุภา ผู้ก่อตั้งน้ำพริกเผาแม่ประนอม สินค้าระดับตำนานที่อยู่คู่คนไทยมานานกว่า 57 ปี ในนามบริษัท พิบูลย์ชัยน้ำพริกเผาไทยแม่ประนอม จำกัด ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2559

โดยใจความสำคัญในหนังสือ ได้ระบุว่า ในปี 2558 บุตรสาวคนโตได้โดยปลอมแปลงหนังสือมอบอำนาจ จากนายศิริชัย แดงสุภา สามี ที่ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2556 โดยโอนที่ดินกองมรดกมาเป็นของตัวเอง

ต่อมา นางประนอม แดงสุภา ทราบว่าบุตรสาวคนโต และบุตรเขยหวังฮุบกิจการน้ำพริกเผาแม่ประนอม โดยมีการเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทใหม่ทั้งหมด โดยตัดนายศิริชัย นางประนอม และบุตรคนอื่นๆ ออกจากรายชื่อของผู้ถือหุ้น แล้วใส่ชื่อของตัวเอง และบุตรเขยเข้าไปแทน และทั้ง 2 คนก็ได้ขับไล่ตนออกจากบ้าน

ซึ่งสถานการณ์ความขัดแย้งในครอบครัว เมื่อแม่ประนอมไม่ยินยอมให้ใช้ชื่อ และรูปตัวเองเป็นเครื่องหมายการค้าอีกต่อไป หากไม่ได้ตามข้อเรียกร้องที่ตกลงกันไว้ ซึ่งคดีนี้ก็กินเวลาร่วม 2 ปี และบทสรุปเรื่องนี้ ก้ดูเหมือนว่าจะจบลงด้วยดี เมื่อแม่ประนอม และลูกสาวคนโต ได้เคลียร์ปัญหามรดกน้ำพริก พร้อมแถลงข่าวยุติทุกคดีความ และกล่าวยืนยันว่าบุตรสาวไม่ได้ไล่ออกจากบ้าน แต่เป็นตนที่ออกจากบ้านตัวตนเอง และการจบลงด้วยอ้อมกอดของแม่-ลูก

แม้ว่าจะมีการออกมาแถลงข่าวยุติความขัดแย้ง ที่แม่ลูกยอมหันหน้ามาเจรจากันแล้ว  แต่ก็ดูเหมือนว่า ยังไม่สามารถได้ข้อสรุปที่ยุติธรรม ปมปัญหาเริ่มบานปลาย และดูเหมือนจะครุกรุ่นขึ้นอีกครั้ง และยังไม่มีทีท่าว่าจะหาข้อสรุปได้ เมื่อนางประนอม ในฐานะผู้จัดการมรดก จะเป็นผู้ดำเนินการจัดสรรปันส่วนให้ลูกแต่ละคน ทั้งมรดกที่มีการแบ่งแล้วและมีความขัดแย้งจะนำมาแบ่งใหม่ ส่วนทนายฝ่ายแม่เผย นางศิริพรตกลงรับปากจะคืนทรัพย์สินให้แก่แม่หลายรายการ ทั้งที่ดินโรงงานเก่า บ้านที่เขาใหญ่ เงิน 300 ล้านบาท พร้อมกับโอนหุ้นคืน โดยที่นางประนอม รอให้ได้ทรัพย์สินครบตามที่ได้ตกลงไว้เสียก่อน จึงจะมีการถอนฟ้องลูกสาวคนโต

และหากย้อนคดีความขัดแย้งปมมรดกที่บุคคลสายเลือดเดียวกันมีปัญหาแย่งชิง เพื่อให้ได้ทรัพย์สินมาครอบครอง นี่ก็ถือเป็นคดีที่โด่งดังคดีหนึ่ง ที่ทุกวันนี้ยังถูกพูดถึง เป็นตำนานคดีมรดกสายเลือดเชือดกันเอง ระหว่างผู้เป็นแม่ และลูก

3. “ตระกูลทองมาก”

ถัดมาทางฝั่งตระกูลทองมาก โดยชนวนเหตุฆ่าชิงมรดกนั้นเกิดจากการขึ้นราคาที่ดินในเกาะสมุย และที่ดินของตระกูลทองมาก นั้น ถือว่าเป็นทำเลทอง เพราะที่ดินดังกล่าวอยู่ใกล้สนามบิน ทำให้มีราคาสูง โดยเฉพาะที่ดินบริเวณพลุเฉวง ซึ่งมีราคาพุ่งสูงไปกว่า 100 ล้านบาท เลยทีเดียว และด้วยเหตุนี้เอง จึงกลายเป็นปมขัดแย้งระหว่างคนในครอบครัวของคนในตระกูลมานับ 10 ปี  หลังจากเมื่อปี 2549 ที่นายหมีด ทองมาก เจ้าของมรดกที่ดิน ได้ถูกยิงเสียชีวิต

หลังจากที่นายหมีด เจ้าของมรดกที่ดินเสียชีวิต นายสมพงศ์ หรือนิ่ม ทองมาก อายุ 42 ปี ลูกชายของนายนายหมีด ได้เป็นผู้จัดการมรดก เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 52 ได้มีปากเสียงกับ นางวารี อายุ 53 ปี ผู้เป็นพี่สาวเรื่องที่ดินแปลงหนึ่ง และเกิดทะเลาะกันจึงได้ชักอาวุธปืนเพื่อจะยิงพี่สาวของตัวเอง แต่ น.ส.สายใจ ผู้เป็นลูกสาวนางวารี ได้ใช้ปืนลูกซอง 5 นัด ยิงสวนมาก่อนเพื่อป้องกันชีวิตแม่ ทำให้กระสุนพุ่งเจาะเต็มแก้มของผู้ตาย และเสียชีวิตทันที ก่อนยืนรอมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมด้วยอาวุธปืน

เหตุการณ์ผ่านไปกว่า 7 ปี ตระกูลทองมาก ตกเป็นข่าวอีกครั้งหลัง นางบุญพัด แซ่ขวย อายุ 62 ปี ลูกสาวคนที่ 2 ของ นายหมีด ถูกคนร้ายประกบยิงเสียชีวิต ส่วนในครอบครัวของ นางบุญพัด มีอยู่ด้วยกัน 4 คน ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตไปแล้ว 3 คน ทั้งสามี ลูกชาย และ นางบุญพัด เหลือเพียงลูกสาวเพียงคนเดียว ซึ่งสาเหตุของการสังหารตั้งประเด็นสำคัญไว้ที่การขัดแย้งเรื่องมรดกที่มีมาอย่างยาวนาน

ต่อมาศาลจังหวัดเกาะสมุย ได้ออกหมายจับผู้ต้องหา 4 คน ซึ่ง 2 ใน 4 นั้น ผู้บงการคือ นายนันทรัตน์ โกละกะ อายุ 41 ปี ซึ่งเป็นลูกเขยของนางวารี สมหวัง และเป็นผู้ขัดแย้งเรื่องที่ดินกับ นางบุญพัด น.ส.สายใจ สมหวัง อายุ 42 ปี บุตรสาวของนางวารี จากปมขัดแย้งกันในเรื่องที่ดิน 4 แปลง โดยมีอยู่ 1 แปลง ที่เป็นที่ดินริมพรุเฉวง ซึ่งที่ดินดังกล่าวนั้นมีมูลค่ากว่าร้อยล้านบาท และนี่เป็นอีกคดีแย่งชิงสมบัติ ที่ดินทองที่กลืนกินถึง 6 ชีวิตด้วยกัน

4. “ตระกูลชายชีวินลิขิต”

จบท้ายกันที่ตระูลดังทางฝั่งอีสาน จ.ขอนแก่น กับ “ชีวิน ชายชีวินลิขิต” ซึ่งเป็นเศรษฐีพันล้าน อดีตข้าราชการนายกเทศมนตรีเมืองชุมแพ ซึ่งเรื่องเกิดขึ้นเมื่อปี 2548 ได้ถูกลอบยิงบาดเจ็บ ต่อมาได้เสียชีวิตจากอาการติดเชื้อในกระแสเลือดเมื่อปี 2549 พร้อมทิ้งมรดกก้อนโตกว่า 1,000 ล้านบาทไว้ เพราะนายชีวินเป็นเจ้าของกิจการจำหน่ายรถยนต์อีซูซุ รายใหญ่ของอ.ชุมแพ รวมทั้งโรงแรมใหญ่ และกิจการอีกมากมายมูลค่าหลายพันล้าน ซึ่งก่อให้เกิดชนวนกลายเป็นมรดกเลือดในเวลาต่อมา

โดยหลังการรายงานข่าวเสียชีวิตของ “เสี่ยชีวิน” ซึ่งมีภรรยาถึง 6 คนด้วยกัน และนี่จึงเป็นเหตุให้เกิดการฟ้องร้องในเรื่องของการแบ่งทรัพย์สมบัติ ที่ตกลงกันไม่ได้ ก่อให้เกิดการฟ้องร้องกันมากมายหลายคดี ซึ่งในช่วงเวลา 4 ปี หลังจากที่เสี่ยชีวินได้เสียชีวิตไปนั้น ก็ได้เกิดคดีลอบสังหารที่ตกเป็นข่าวครึกโครมอีกครั้ง จากการเสียชีวิตของ นางอรัญญา หรือ “เจ๊หงส์” ภรรยาคนที่ 2 ของเสี่ยชีวิน ที่ถูกคนร้ายกระหน่ำยิงจนเสียชีวิต

1 ปีต่อจากนั้น ก็ตกเป็นข่าวอีกครั้ง เมื่อ นายนาวิน ซึ่งเป็นลูกชายคนโต และเป็นผู้ดูแลธุรกิจของครอบครัว ได้ถูกลอบสังหารที่บ้านพัก ซึ่งคนร้ายได้ปาระเบิด และกดรัวเอ็ม 16 เข้าใส่ แต่โชคดีไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากวันนั้นไม่มีคนอยู่ภายในบ้านพักหลังดังกล่าว

ในเวลาต่อมา บทสรุปคดีปมสังหาร นางอรัญญา หรือ เจ๊หงส์ และกรณีที่ นายนาวิน ถูกลอบทำร้ายนั้น ซึ่งตำรวจสามารถติดตามจับกุมมือปืนได้ และคนร้ายได้ให้การซัดทอดไปถึงบุคคลที่อยู่ในตระกูลเดียวกัน นั้นเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสั่งฆ่าครั้งนี้ สาเหตุมาจากปมที่ถูกพูดถึงนั่นก็คือ ผลประโยชน์จากการแบ่งมรดก ซึ่งคดีนี้ ทางศาลจ.ขอนแก่นได้พิจารณาโทษไปแล้วเรียบร้อย

5. “ตระกูลชนะศัตรู”

เมื่อปี 2553 เหตุเกิดที่ปมปัญหาแย่งชิงที่ดิน ที่มูลค่ากว่าร้อยล้านบาท ซึ่ง นายนาวิน ชนะศัตรู และ นายกิตติศักดิ์ ชนะศัตรู ได้ใช้อาวุธปืนฆ่า นางถนอมศรี ชนะศัตรู พี่สะใภ้เสียชีวิตภายในบ้านพักส่วนตัว เป็นศพแรกในตอนกลางคืน จากปมความแค้นนำมาสู่การฆาตกรรมต่อเนื่อง พอรุ่งเช้าทั้งสองคนร้ายได้เดินทางไปสังหารโหด นางศิลาณี ชนะศัตรู ซึ่งเป็นพี่สาวแท้ๆ จนกลายเป็นศพที่สองในบ้านพักอีกหลังหนึ่ง โดยสภาพศพทั้งสองนั้นถูกกราดยิงด้วยกระสุนปืน 9 มม. จนร่างพรุน

และหลังเกิดเจ้าหน้าที่ได้ติดตามไล่ล่า จนกระทั่งเข้าสู่สันที่ 2 นายนาวิน ชนะศัตรู มือสังหารโหด ได้นัดมอบตัวกับตำรวจพร้อมเปิดปากรับสารภาพแบบหมดเปลือก  ถึงปมปัญหา ที่มาจากมรดกที่ดินนับพันไร่ ที่มีมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท ที่แบ่งสรรปันส่วนกันไม่ลงตัว จึงนำมาซึ่งเหตุการฆาตกรรมในครั้งนี้

นายนาวิน ชนะศัตรู ให้การถึงความขัดแย้งดังกล่าว เกิดจากการที่ นางศิลาณี ซึ่งเป็นผู้จัดการกองมรดกก้อนนี้ แต่กลับไม่ยอมแบ่งให้ตน และก่อนลงมือก่อเหตุนั้น ตนได้ไปซื้อเบียร์มานั่งดื่มกับนางถนอมศรี ที่มีความลึกซึ้งกันมากกว่าพี่สะใภ้มานานแล้ว หลังจากที่พูดคุยกันถึงเรื่องมรดกที่ดิน แต่คุยกันไม่รู้เรื่อง จึงทำให้มีปากเสียงกันอย่างรุนแรง

และด้วยความโมโหจึงหันไปหยิบปืนที่วางอยู่ใกล้ตัวนั้น กราดยิงใส่นางถนอมศรีจนเสียชีวิต ก่อนที่จะขับรถไปหานางศิลาณีที่บ้านโค้งดารา และได้เล่าเรื่องราวที่ยิงพี่สะใภ้จนเสียชีวิตให้นางศิลาณีฟัง แต่นางศิลาณีกลับมาด่าซ้ำ จึงเป็นเหตุให้นายนาวินชักปืนขึ้นมายิงใส่พี่สาวจนถึงแก่ความตายอีกคน ภายในห้องดังกล่าว

6. “ตระกูลหอมชง”

จากปมมรดก ความขัดแย้งในครอบครัวที่เกิดขึ้น ก็มีให้ได้เห็นอยู่บ่อยครั้ง คดีนี้ก็เช่นกัน เมื่อลูกชายคนเล็กจ้างฆ่าพ่อแม่ และพี่ชาย รวม 3 ศพ ทำให้เป็นอีกหนึ่งคดีดังที่สังคมให้ความสนใจกับการเสียชีวิตของคนในตระกูลนี้

เหตุเกิดขึ้นวันที่ 3 เมษายน 2557 มีคนร้ายบุกยิงคนในครอบครัว “หอมชง” ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวม 3 ศพด้วยกัน คือนางวนิดา หอมชง อายุ 57 ปี พ.อ.วินัย หอมชง อายุ 63 ปี และ ร.ต.ท.ธรรมณัฐ หอมชง หรือ หมวดเติ้ล อายุ 27 ปี จึงทำให้กลายเป็นคดีสะเทือนขวัญของคนในสังคมอยู่ไม่น้อย เพราะนี่ถือเป็นอีกหนึ่งคดีฆาตกรรมยกครอบครัว ที่ทุกคนให้ความสนใจ

หลังจากการสืบหาสาเหตุของการฆาตกรรมโหด แรกเริ่มทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ “นายกิตตินันท์ หอมชง” หรือ เต้ย อายุ 22 ปี  ซึ่งเป็นน้องชายคนสุดท้อง เพราะเจ้าตัวให้การว่า ในวันเกิดเหตุ ตนไม่ได้อยู่ในบ้าน แต่จากคำให้การหลายอย่าง กลับส่อพิรุธหลายจุด และเมื่อถูกเค้นสอบหนักเข้า เจ้าตัวจึงจนมุม พร้อมรับสารภาพว่าเป็นคนบงการฆ่า และมือฆ่ายังได้เผยอีกว่า ไม่เคยรู้มาก่อนว่า เหยื่อที่ถูกจ้างวานให้ไปฆ่านั้น เป็นพ่อ แม่ และพี่ชายร่วมสายเลือด ของ นายกิตตินันท์

จากคำรับสารภาพ ซึ่ง นายกิตตินันท์ เผยว่า รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ และโกรธเคืองที่ครอบครัวมักนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับพี่ชายอยู่เสมอ ที่ประเด็นที่เป็นชนวนก่อให้เกิดคดีนี้คือ ทางพ่อแม่ นั้นหวังจะมอบหมายทรัพย์มรดกของครอบครัว ให้กับผู้เป็นพี่ชายและเมื่อพบว่าบิดามีสินทรัพย์เป็นที่ดินกว่า 4 ไร่ ที่มีมูลค่าหลาย 100 ล้านบาท และมีเงินฝากจำนานหลาย 10 ล้านบาท นี่จึงเป็นเหตุจูงใจที่ต้องฆ่า พ่อ แม่ และพี่ชายตนเอง และต่อมาในปี 2558 ศาลจึงได้ตัดสินโทษประหารชีวิต นายกิตตินันท์ หอมชง

และนี่ก็เป็นบางส่วนจากคดีฆาตกรรม ที่เกิดจากปมปัญหาความขัดแย้งภายในครอบครัว ประกอบกับผลประโยชน์ที่ตกลงกันไม่ลงตัว จึงเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดการฆาตกรรมอย่างเลือดเย็น แม้ว่าจะเป็นคนในครอบครัว ที่เป็นสายเลือดเดียวกันก้ตาม อำนาจ และกิเลสตันหา ที่นำมาซึ่งการสูญเสีย คดีสะเทือนขวัญเหล่านี้ล้วนตกเป็นข่าวที่คนในสังคมให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะต้นเหตุของปัญหาที่มาจาก “มรดกที่มีมูลค่ามหาศาล”

เพียงเพราะคำว่าอำนาจ กิเลสที่หอมหวาน ที่กลืนกินจิตใต้สำนึกของมนุษย์ ถูกครอบงำไปด้วยความโลภและไร้ซึ่งสติ นำไปสู่ศึกสายเลือดที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงจะเป็นบุคคลผู้เป็นสายเลือดเดียวกัน แม้ว่าจะเป็นสายสัมพันธ์ พ่อแม่ ญาติ พี่น้อง ก็ต้องมาห่ำหั่น ล้างเลือดกันเอง ทำให้เห็นถึงบทสรุปที่เป็นอย่างที่เห็นตามข่าวกันอยู่เรื่อยไป…

“เมื่อความถูกใจ อยู่เหนือความถูกต้อง ความยับยั้งชั่งใจ …จึงไม่มี”

Sharry

Writer, Project Editor, Photographer

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save